xs
xsm
sm
md
lg

ถอดรหัสห้องปิดตายจากแฟ้มสืบสวนคดีฆาตกรรมอำพรางยุคปฏิรูปเมจิ(ตอนที่ 4)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์

4

ไม่นานต่อมาจ่าชิกะโซก็พาตัวคะซุเกะมาพบนักสืบเอกรูปงาม

คะซุเกะเป็นหนุ่มใหญ่วัยสามสิบสองสามสิบสาม รูปร่างหน้าตาดีสมกับที่เคยอยู่ในสังกัดของร้าน “คะวะกิ” เพียงแต่ดู
เป็นคนซื่อ ๆ ไม่ฉลาดเฉียบแหลมฉูดฉาดบาดใจเหมือนเสมียนหนุ่มคนอื่น

นักสืบชินจูโรเรียกอดีตหัวหน้าเสมียนเข้ามาใกล้แล้วถามว่า

“เจ้ามาอยู่กับครอบครัวคะวะกิตั้งแต่เมื่อไรรึ”

“ขอรับ กระผมอยู่มาตั้งแต่วันเปิดร้าน ทำงานอยู่ที่นี่ตั้งแต่อายุสิบสองจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคมรวมยี่สิบปีขอรับ”

ร้าน “คะวะกิ” เปิดกิจการในปีเริ่มต้นสมัยเมจิ จึงกล่าวได้ว่าหนุ่มใหญ่ผู้นี้เป็นคู่ทุกข์คู่ยากของนายโทเบที่ร่วมบากบั่นบุก เบิกกิจการมาด้วยกัน

“เมื่อคืน ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่”

“เมื่อวานกระผมออกไปค้าขายทั้งวันกว่าจะกลับบ้านได้ก็ค่ำมากแล้ว พอถึงบ้านนางเมียบอกว่าพนักงานส่งสารเอาจดหมายจากนายท่านมาให้ กระผมเปิดออกอ่านได้ความว่าเมื่ออ่านจดหมายนี้แล้วไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนให้กระผมมาหาทันทีและให้เข้าทางประตูหลัง วันนี้วันที่ 5 เป็นวันงานศาลเจ้าซุยเท็งงูดังนั้นท่านจะคอยอยู่จนกว่ากระผมจะมา ตอนนั้นเพิ่งสองทุ่มครึ่ง กระผมคิดว่าถ้ารีบไปคงจะถึงราวสามทุ่ม ก็เลยออกวิ่งมาทันทีขอรับ”
ตำรวจจับผู้ร้ายสมัยเมจิ
“นายท่านมีธุระอะไรกับเจ้ารึ”

“ใต้เท้าขอรับ กระผมเสียใจจนไม่รู้จะพูดยังไงถูกที่นายท่านถึงแก่อนิจกรรมไปเช่นนี้ นายท่านประสบโชคร้ายอย่างแสนสาหัสแต่ยังไม่เท่ากับกระผมที่จะต้องทุกข์ทรมานกับโชคร้ายอันสุดที่จะคณนานี้ไปตลอดชีวิต ใต้เท้ากรุณาให้อภัยกระผมด้วยเถิดนะขอรับที่มาแสดงความรู้สึกในเวลาอันไม่บังควรเช่นนี้ ขออภัยเถิดนะขอรับเพราะความรันทดนั้นท่วมล้นหัวอกจนไม่อาจกดเก็บเอาไว้ได้ ใต้เท้าถามถึงธุระของนายท่าน ขอรับ...พอกระผมเข้าไปหานายท่านก็จับมือกระผมขึ้นมากุมไว้แล้วบอกว่า เจ้าคะซุเกะเอ๋ยข้าเสียใจที่ทำให้เจ้าต้องเศร้าสร้อยน้อยใจและตกระกำลำบาก ยกโทษให้กับความหน้ามืดตามัวของข้าแล้วกลับมาดูแลร้านของเราให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงอีกครั้งหนึ่งเถิด ระยะนี้ข้าได้ยินข่าวลือไม่ค่อยจะดี สี่ห้าวันนี้ข้าเลยเก็บตัวอยู่ในห้องเอาสมุดบัญชีออกมาตรวจดู แล้วก็พบว่าตั้งแต่เจ้าออกไปมีการทำบัญชีเท็จคือลงรายการซื้อของนั่นนี่แต่ไม่มีตัวของ ทั้งยังมีการทุจริตฉ้อฉลอีกหลายรูปแบบเกิดขึ้นในร้านของเรา ข้ารู้หมดแล้วว่าเจ้าโยะชิโอะกับเจ้าชูซะกุมันร่วมมือกันทำ และเมื่อวานนี้ข้าได้เรียกเจ้าชูซะกุมาซักถามคาดคั้นเอาความจริง มันก็สารภาพความจริงจะโกหกต่อไปไม่ได้แล้วเพราะข้ามีหลักฐานยืนยัน แต่แรกข้าก็คิดจะยกโทษให้มัน แต่มาคิดดูอีกทีก็เห็นว่าไอ้นี่มันใช้ไม่ได้ เป็นหนุ่มอายุน้อยขนาดนี้มันยังมีกลโกงฉ้อฉลได้ถึงเพียงนี้ เห็นทีจะให้กลับไปเป็นหัวหน้าเสมียนตามเดิมไม่ได้เสียแล้ว พอพูดจบนายท่านก็บอกให้กระผมมาที่ร้านตอนเที่ยงพรุ่งนี้ ส่วนท่านนั้นก็จะจัดการไล่คนที่ท่านตัดสินใจไล่ออกไปให้หมด แล้วก็จะรับกระผมเข้าทำหน้าที่หัวหน้าเสมียนตามเดิม แต่ขณะที่กระผมกำลังเตรียมตัวไปที่ร้านให้ทันเวลาเที่ยงวันอยู่นั้นเอง ก็มีคนมาแจ้งข่าวร้ายและนำตัวกระผมมาพบท่านนี่แหละขอรับ”

“เข้าใจละ และเมื่อนายท่านตายไปอย่างนี้เจ้าก็แย่เพราะหมดโอกาสที่จะได้กลับมาทำงานที่ร้านอีก นอกจากที่เล่ามาแล้วมีอะไรที่ผิดสังเกตอีกไหม”

“มีซีขอรับใต้เท้า นายท่านถามกระผมว่า เจ้าได้ยินเขาลือกันใช่ไหมว่านางเมียของข้ากับเจ้าโยะชิโอะมีอะไรกัน เจ้าคิดยังไงและก็รู้เบาะแสอะไรบ้าง บอกข้ามาทีรึ”

“นั่นเป็นเรื่องใหญ่นะเจ้า”

“ขอรับ กระผมก็ลำบากใจอยู่เหมือนกัน จะพูดอะไรไปก็ไม่ใช่ที่ก็เลยเรียนนายท่านไปว่ากระผมก็เคยได้ยินคนเขาลือเหมือนกันแต่ก็ไม่เคยเห็นกับตาเลยสักที นายท่านแค่นหัวเราะทำหน้าเศร้าแล้วบอกว่าความจริงท่านเคยเห็นด้วยตาตนเองมาแล้วขอรับ”

“เคยเห็นด้วยตาตนเองมาแล้วน่ะ มันยังไงกันรึ”

“ใช่ขอรับ นายท่านเล่าว่ากลางดึกวันหนึ่งท่านลุกขึ้นไปห้องน้ำ แต่พอมองออกไปทางเรือนเล็ก นายท่านก็เห็นประตูบานเลื่อนแง้มอยู่จึงเอาโคมที่ถือติดมือไปส่องดูก็เห็นผ้าผ่อนถูกสลัดไว้เหมือนงูลอกคราบ เอ๊ะ...นี่มันอะไรกัน นายท่านดับโคมไฟแล้วย่องขึ้นไปชั้นบนก็ได้ยินเสียงชายหญิงกำลังพร่ำพรอดกันดังลอดออกมาจากห้องของคุณนายซึ่งไม่ต้องเห็นก็รู้ว่าเป็นใครกับใคร นายท่านบอกว่าหลังจากกระผมกลับออกไปแล้วท่านจะเรียกสองคนนั่นขึ้นมา ยื่นใบหย่าให้คุณนาย ประกาศตัดความสัมพันธ์น้าหลานกับนายโยะชิโอะ และไล่สองคนให้ออกจากบ้านไปในคืนนี้ ตอนที่ผมลากลับนายท่านสั่งให้กระผมไปบอกนางโอะชิโนะให้ไปตามคุณนายกับนายโยะชิโอะขึ้นมาหาท่านที่โกดัง กระผมก็ทำตามนั้นและกลับออกไปขอรับ”

“เจ้าตรงกลับบ้านเลยรึ”

“หามิได้ขอรับ ความที่ดีใจว่าจะได้กลับไปทำงานกับนายท่านอีกครั้ง และพอดีกับเป็นวันงานศาลเจ้าด้วย กระผมก็เลยไปนมัสการศาลเจ้าซุยเท็งงู และแวะดื่มเหล้าสาเกเสียจอกหนึ่ง กระผมไม่ได้ดื่มเสียนานเลยรู้สึกว่าจะเมามากไปหน่อยตอนกลับบ้านกลางดึกน่ะขอรับ”

“เจ้าไปดื่มเหล้าสาเกที่ร้านไหน”

“คนจนอย่างกระผมไม่ได้ขึ้นร้านขึ้นรวงอะไรหรอกขอรับใต้เท้า หาดื่มเอาตามแผงลอยหลังร้านแสดงมนุษย์ประหลาดอะไรแถวนั้นเอง ที่กระผมเมามากขนาดนั้นคงไปโดนเหล้าสาเกเลว ๆ เข้าให้ก็เป็นได้นะขอรับ”
หาบเร่ขายเหล้าสาเกหลังศาลเจ้า
“ตอนที่มาบ้านนี้ มีใครบ้างที่เห็นเจ้า

“กระผมจำได้ว่าไม่ได้พบกับคนอื่นนอกจากนางสาวใช้โอะชิโนะ กับ โอะโทะมิ ขอรับ”

คำให้การของคะซุเกะมีประโยชน์เกิดคาด ช่วยให้นักสืบเอกสามารถยืนยันได้ว่าแนวคิดของตนเองด้านที่เกี่ยวกับเหตุจูงใจในการก่อเหตุฆาตกรรมรายนี้ดำเนินไปอย่างถูกทางแล้ว แต่ยังขาดอยู่อีกสิ่งที่จะมาสนับสนุนแนวคิดนั้นให้หนักแน่นชัดเจนยิ่งขึ้น นั่นก็คือการหายตัวไปของโยะชิโอะหลานชายของผู้ล่วงลับ ตำรวจนักสืบได้ไปสอบปากคำนางโคะเซ็นเกอิชาโฉมงามดาวรุ่งกับครูสอนร้องเพลงที่สำนักเริงรมย์โยะชิวะระเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยว่าโยะชิโอะแวะเวียนไปที่นั่น

นักสืบหนุ่มรูปงามชินจูโรเรียกคินจิเสมียนวัยรุ่นมาไต่ถามได้ความว่า เมื่อวานนี้เป็นวันที่เจ้าหนุ่มอยู่เวรเฝ้าร้าน และระหว่างที่กำลังยุ่งหัวปั่นอยู่นั้นนายโยะชิโอะหัวหน้าเสมียนหายไปไหนไม่รู้ เขาเลยยิ่งยุ่งใหญ่เพราะต้องทำหน้าที่จัดการอะไร ๆ แทน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อไหร่ในที่แห่งอื่นนอกเหนือไปจากร้านที่เขาดูแลอยู่ ฮิโกะทะโรกับเซ็นคิจิที่ทำงานอยู่ด้วยกันเป็นพยานยืนยันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเล่าเป็นเสียงเดียวกันด้วยว่าราวสี่ทุ่มเศษ แม่หนูมะเมะยักโกะเกอิชาฝึกหัดมาที่ร้าน หยิบจับเครื่องประดับนั่นนี่แล้วซื้อปิ่นปักผมไปอันหนึ่งโดยไม่ต้องจ่ายสตางค์เองเพราะเจ้าคินจิคู่รักของหล่อนทำหน้าใหญ่ซื้อให้เป็นของกำนัล

นักสืบเอกสอบปากคำคนในบ้านจนครบหมดทุกคนแล้ว จึงหันกลับไปตรวจพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งโดยเริ่มจากประตูห้อง

“ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องจะสับสลักกลอนโดยไม่ได้ใช้ตะปูขัดกำกับไว้อีกชั้นหนึ่ง อย่างนี้ก็ไม่ยากที่ใครสักคนที่อยู่นอกห้องจะถอดสลักกลอนเข้าไปและสับสลักกลอนเข้าที่อีกครั้งเมื่อออกมาแล้ว แค่เอาเส้นลวดงอ ๆ สอดเข้าไปทางช่องว่างแคบ ๆ ระหว่างบานประตูก็จะถอดหรือสับสลักกลอนได้ตามใจชอบ”

ชินจูโรพึมพำกับตัวเองพลางสอดส่ายสายตาอันคมกริบสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างไม่ให้มีอะไรลอดตาไปได้ นักสืบหนุ่มเปิดประตูเข้าไป ระหว่างทางจากประตูไปยังห้องนั่งพักผ่อนของผู้ตายเขาต้องผ่านห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายห้องรับแขกและห้องเก็บของที่อยู่ข้าง ๆ เปิดเข้าไปดูเห็นโต๊ะบูชาพระและข้าวของไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรสุมปนเปกันเต็มไปหมด ถัดไปเป็นห้องที่ดูเหมือนว่านายโทเบจะใช้เป็นนอน เพราะมีที่นอนและผ้านวมพับซ้อนกันไว้ที่มุมห้อง ห้องทั้งห้องโล่งโจ้งไม่มีแม้แต่ตู้เก็บที่นอน แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดีแสดงว่าได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างทั่วถึงทุกวัน เว้นแต่ว่าช่วงระหว่างห้องเก็บของกับห้องนอนมีขี้ดินตกอยู่เป็นหย่อม ๆ

“เอ อย่างนี้ก็หมายความว่าต้องมีคนลอบเข้ามาในห้องนี้แน่ ๆ เอ๊ะ...ตรงนี้ก็มีขี้ดิน ท่าจะเดินขึ้นมาเท้าเปล่า เอาเกี๊ยะซ่อนไว้ในอกเสื้อ ดูยังไง ๆ ก็ไม่ผิดเลยละว่าต้องมีใครเข้ามาในสวนด้านหลัง ปีนขึ้นมาบนเรือนเล็กแล้วเข้ามาถึงโกดังนี่ เห็นทีจะต้องไปตรวจดูร่องรอยที่สวนหลังบ้านกันให้รู้แจ้ง”

ว่าแล้วนักสืบรูปงามก็นำขบวนลงไปสำรวจสวนด้านหลัง ตรงนั้นมีรอยเท้าลักษณะต่าง ๆ สับสนไปหมดจนดูไม่ออกว่าอะไรเป็นรอยเท้าอะไรเป็นรอยเกี๊ยะ ขบวนนักสืบจึงพากันเดินอ้อมออกไปด้านหลังของโกดังสินค้าซึ่งเป็นซอยแคบ ๆ คดเคี้ยว แม้ว่าถนนด้านหน้าจะครึกครื้นไปด้วยเสียงจากงานศาลเจ้า แต่ในซอยด้านหลังนี้พอตกกลางคืนคงมืดสนิทไม่มีใครเดินผ่านไปมา ซ้ำยังมีถังขยะอยู่ข้างรั้วได้จังหวะพอดีกับที่ผู้ประสงค์ร้ายจะปีนขึ้นไปแล้วโหนตัวข้ามรั้วลอบเข้าไปในบริเวณบ้านได้อย่างง่ายดาย

ชินจูโรตรวจพื้นที่ภายนอกเสร็จเรียบร้อยและขณะที่กำลังชวนกันกลับ ก็มีเสียงตะโกนก้องมาจากด้านโน้น

“จับผู้ร้ายได้แล้ว” ตำรวจนักสืบมากันเป็นขบวนจับเจ้าโยะชิโอะมัดมือไขว้หลังเดินมาตรงกลาง พอพบนักสืบชินจูโรก็รายงานว่าพวกตนจับคนร้ายได้ขณะที่รอรถไฟอยู่ที่สถานีชินะงะวะ

“พวกคุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้านี่เป็นฆาตกร”

“พวกกระผมเพิ่งจะจับมาได้เมื่อตะกี้นี้เองยังไม่ทันได้สอบปากคำเลยขอรับ แต่ใต้เท้าดูเอาเองก็แล้วกัน เสื้อตรงหัวเข่าของเจ้านี่มีรอยเลือดเปื้อนเต็มไปหมด แล้วยังที่พื้นถุงเท้านั่นอีกเห็นไหมขอรับ มีหลักฐานมัดตัวขนาดนี้แล้วดิ้นยังไงก็ไม่หลุดหรอกขอรับ”

ชินจูโรเห็นรอยเปื้อนเลือดชัดเจนตรงที่ตำรวจนักสืบชี้ให้ดู

“เอาละฉันเข้าใจแล้ว แต่ถ้าพวกคุณมารุมล้อมจ้องมองอยู่อย่างนี้ฉันคิดว่าเจ้าโยะชิโอะคนนี้คงตั้งสติตอบคำถามได้ยาก เอาเป็นว่าพวกคุณอยู่ที่นี่สักคนสองคนพอ ส่วนที่เหลือกลับไปก่อนดีไหม ผมมีอะไรอยากถามหมอนี่สักคำสองคำ”

ตำรวจนักสืบพากันกลับไปตามคำขอร้องโดยเหลือไว้เพียงสองคนเพื่อควบคุมตัวคนร้ายเอาไว้
สถานีรถไฟชินะงะวะ เป็นหนึ่งใน 7 สถานีรถไฟสายแรกของกรุงโตเกียว (ชินบะชิ-โยโกฮามะ)
ชินจูโรบอกให้โยะชิโอะเข้ามานั่งใกล้ ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“เอาละนะ ฉันจะพูดให้ฟังว่าเมื่อคืนก่อนเจ้าไปทำอะไรมาบ้าง เมื่อคืนนี้นายท่านเรียกเจ้ากับนางโอะมะกิขึ้นไปหาบนโกดังและบอกว่าท่านรู้แล้วว่าเจ้าทั้งสองเล่นชู้กัน นางโอะมะกิแก้ตัวว่าไม่ใช่นั่นเป็นเรื่องโกหก คนที่อยากกำจัดตนให้พ้นทางเอาเรื่องนี้มาพูดจนทั่วเพื่อใส่ร้าย แต่นายท่านไม่ฟังคำพูดของนาง บอกว่าท่านได้ยินเจ้าทั้งสองพูดคุยกันมากับหูและเห็นทำอะไรกันอยู่ตำตา พอโดนเข้าอย่างนี้ทั้งเจ้าและนางโอะมะกิก็พูดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อนายท่านด่าเจ้าว่าเป็นคนอกตัญญู ท่านกำลังคิดว่าจะให้เจ้าเป็นผู้รับมรดกสืบทอดกิจการอยู่แท้ ๆ เพราะลูกสาวคนเดียวของท่านป่วยด้วยโรคร้ายไร้สมรรถภาพ ตั้งแต่วันนี้ท่านกับเจ้าขาดกันไม่ต้องมานับญาติว่าเป็นน้าเป็นหลานอีกต่อไป ส่วนนางโอะมะกิท่านโยนใบหย่าใส่หน้า แล้วไล่ให้ออกจากบ้านไปเดี๋ยวนี้ อย่างนั้นใช่ไหม”

โยะชิโอะพยักหน้าช้า ๆ ท่าทางเหมือนคนปลงตก

“ขอรับ เรื่องมันเป็นเช่นนั้น”

“เอาละ พอเจ้ากับนางโอะมะกิถูกนายท่านตัดญาติขาดมิตรและไล่ตะเพิดออกจากบ้าน หลังจากลงมาจากโกดังแล้วเจ้าทำยังไง”

“กระผมกลับไปห้องพัก กำลังคิดว่าต่อจากนี้ไปจะทำยังไงดี ก็ได้ยินเสียงคุณนาย...เอ้อ กระผมควรเรียกว่าโอะมะกิเอะอะ เอ็ดตะโรอยู่ข้างล่าง กระผมจึงลงไปดูเห็นเธอกินเหล้าจนเมาแล้วกลับเข้าไปในโกดัง ก็เลยตามเข้าไป พบเธอกำลังตะโกนสาบแช่งเสียงขรมอยู่ที่หน้าประตูห้อง ที่ดูเหมือนว่าจะใส่สลักกลอนอยู่ข้างในเธอจึงเข้าไปไม่ได้ กระผมเข้าไปปลอบ โอะมะกิแล้วพาเธอกลับห้อง เธอพร่ำบ่นอยู่คำสองคำแล้วก็หลับไป กระผมกลับไปที่ห้องส่วนตัวอีกครั้ง มุดเข้าไปในผ้านวมแล้วพยายามคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงดีแต่ก็หาทางออกไม่ได้จริง ๆ เลยลุกขึ้นมาเริ่มจัดข้าวของตั้งใจว่าจะออกจากที่นี่ไปผจญโลกดูสักครั้ง แต่พอคิดขึ้นมาว่าถ้าออกไปจากร้านนี้แล้วตัวเองคงไม่มีทางหาเลี้ยงชีพเอาตัวรอดต่อไปได้ กระผมจึงเลิกจัดข้าวของ สำหรับคนที่ไร้ความสามารถในการดำรงชีวิตอย่างกระผม ทางรอดทางเดียวที่เหลืออยู่ก็คือไปกราบขอโทษคุณน้าที่ได้ทำความผิดร้ายแรงครั้งนี้ กระผมดูนาฬิกาตอนนั้นราว ๆ ตีหนึ่ง ดึกมากแล้วแต่กระผมก็ไม่อาจทนคอยอยู่ได้ จึงขึ้นไปที่ชั้นบนของโกดัง ประตูห้องยังปิดอยู่เช่นเดิมและสาวใช้ก็คงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเข้าไปข้างในเพราะเห็นชามใส่ข้าวปั้นอาหารรอบดึกของคุณน้าวางอยู่หน้าประตู กระผมเอาเทียนในมือส่องดูก็เห็นว่าประตูติดสลักกลอนอยู่แต่ไม่ได้เอาตะปูขัดไว้อีกชั้นหนึ่ง กระผมก็เลยเอาไม้จิ้มฟันอันยาวสอดเข้าไปในช่องว่างระหว่างประตูแล้วยกสลักกลอนขึ้นเปิดเข้าไปได้ ตอนที่กระผมเข้าไปในห้องคุณน้าถูกแทงสิ้นใจตายอยู่แล้วขอรับ ถ้ากระผมหนีออกมาทันทีเนื้อตัวก็จะไม่เปื้อนเลือดอย่างนี้ แต่เผอิญเหลือบไปเห็นกระเป๋าใส่ยาสูบของตัวเองตกอยู่ข้างศพ คิดว่ามันคงจะตกอยู่ตรงนั้นตอนที่คุณน้าเรียกไปด่า ตอนเข้าไปเก็บกระผมพยายามเลี่ยงไม่ให้เหยียบเลือด แต่มันก็ติดมาจนได้ กระผมเก็บกระเป๋ายาสูบได้ก็รีบหนีออกมาทันทีแต่ก็ไม่ลืมหันไปใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยสลักกลอนปิดประตูเอาไว้ตามเดิม พอลงมาจากโกดังกระผมตัวสั่นไปด้วยความหวาดกลัว ทำอะไรไม่ถูกมารู้สึกตัวอีกทีก็พบตัวเองกำลังวิ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต ราวกับตัวเองเป็นฆาตกร”

“นั่นนะซิจะให้เชื่อได้ยังไงว่าไม่ใช่ มนุษย์ธรรมดาไม่มีใครเขางัดประตูปิดตายกลางดึกเพื่อเข้าไปพูดขอขมาน้าตัวเองกันหรอก เจ้าต้องตั้งใจขึ้นไปฆ่านายโทเบแน่”

“ไม่ใช่ขอรับ ไม่ใช่กระผมแน่นอน” โยะชิโอะปฏิเสธทันควัน หน้าซีดตัวสั่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงสงบจิตใจลงได้

“ช่วยไม่ได้ที่ใคร ๆ จะมองเช่นนั้นขอรับ ตอนนั้นกระผมตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกหลาย ๆ อย่างประดังประเดเข้ามาจนอัดอั้นตันใจไปหมด ที่กระผมขึ้นไปกราบขอขมาคุณน้าคนเดียวนั้นก็เพราะถ้าพาโอะมะกิขึ้นไปด้วยเรื่องมันจะไปกันใหญ่ และกระผมก็ไม่เชื่อใจนางว่าพอจนแต้มเข้าจริง ๆ จะเอาตัวรอดคนเดียว นางอาจตลบหลังให้ร้ายซ้ำเติมกระผมก็เป็นได้ กระผมจึงตั้งใจว่าจะคอยจังหวะให้นางหลับสนิทก่อนแล้วค่อยขึ้นไปขอขมาคุณน้า และพอคุณน้ายกโทษให้แล้วก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หลบหน้าอยู่สักพักจนกว่านางจะขนข้าวของออกจากบ้านไป กระผมคอยจังหวะเหมาะอยู่อย่างกระวนกระวายเพราะอยากขอขมาคุณน้าโดยเร็วเท่าที่จะทำได้ การเอาไม้จิ้มฟันปลดสลักกลอนนั้นมันไม่ธรรมดาก็จริงแต่ตอนนั้นกระผมหน้ามืดตามัวจิตใจมันบอดไปหมด คิดทำอะไรไม่ถูกนอกจากมุ่งที่จะขอขมาคุณน้าโดยเร็วที่สุดอย่างเดียว กระผมไม่ได้เป็นคนฆ่าคุณน้า และที่กระผมเล่ามาทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่ไม่มีอะไรจะจริงไปกว่านี้อีกแล้วแล้วขอรับ”

“เอาละ ข้าขอถามอีกข้อหนึ่ง คือเจ้ารู้หรือไม่ว่านายท่านเรียกคะซุเกะมาพบที่นี่”

“ทราบขอรับ คุณน้าบอกกระผมกับนางโอะมะกิว่า ข้าเรียกนายคะซุเกะกลับมาทำงานที่ร้านตามเดิมแล้ว เพราะฉะนั้นถึงข้าจะเฉดหัวเจ้าสองคนกับไอ้ชูซะกุออกไปร้านข้าก็ไม่กระเทือน ไปให้พ้นเสียตั้งแต่คืนนี้ข้าไม่อยากเห็นหน้า แล้วนี่ได้ ชูซะกุมันหายหัวไปไหน ไปเรียกมาเดี๋ยวนี้ กระผมบอกว่าชูซะกุไปเที่ยวงานศาลเจ้าเพราะวันนี้เป็นวันหยุดของมัน คุณน้าก็บอกว่างั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าจะไล่มันออกแต่เช้าเลย ส่วนเจ้าทั้งสองถ้ายังมียางอายอยู่บ้างก็รีบกลับไปเก็บข้าวเก็บของออกไปให้พ้นบ้านข้าเสียตั้งแต่คืนนี้ เพราะการที่นางเมียหอบผ้าหอบผ่อนตามชายชู้ไปกลางวันแสก ๆ ชาวบ้านเขาจะเย้ยไยไพ หรือถ้าคิดว่าหนังหน้าเจ้าหนาพอก็ตามใจ และก็รู้ไว้ด้วยว่าคะซุเกะจะกลับมาทำงานที่ร้านตั้งแต่เที่ยงพรุ่งนี้ ขอรับ...คุณน้าพูดให้เจ็บใจว่าเราไม่ได้มีความสำคัญอะไรสำหรับที่นี่ ถึงไม่มีเราท่านก็ไม่เจ็บไม่คันไม่เดือดร้อนอะไรเลย”

“เจ้าเห็นศพนายท่านและกระโจนออกจากโกดังไปด้วยความตื่นตระหนก แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

“กระผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูกเพราะเมื่อรูปการเป็นไปเช่นนี้ใคร ๆ ต้องคิดว่ากระผมเป็นฆาตกรแน่ ๆ กระผมหวั่นผวาหวาดระแวงไปหมด จะหนีไปที่ที่รู้จักคุ้นเคยก็กลัวเจ้าหน้าที่จะตามไปจับ จึงเดินสะเปะสะปะไปที่ย่านซุซะกิที่ไม่มีใครรู้จักคุ้นเคยและกบดานครุ่นคิดหาทางออกอยู่ที่นั่นตลอดคืน พอดีนึกถึงคนรู้จักกันที่โอซากาขึ้นมาได้ จึงตกลงใจเดินทางไปขอพึ่งพาเขาสักระยะหนึ่ง พอรุ่งสางก็ออกไปคอยรถไฟที่สถานีชินะงะวะแล้วถูกจับตัวมานี่แหละขอรับ”

“เหนื่อยมามากแล้ว คืนนี้นอนพักสบาย ๆ ในกรงขังสักคืนแล้วกัน”

“ไม่ใช่นะขอรับ กระผมไม่ได้ฆ่าคุณน้า”

“และแล้ว คดีฆาตกรรมก็คลี่คลายอย่างรวดเร็วและงดงาม” โทะระโนะซุเกะนักดาบร่างใหญ่ถอนใจด้วยความโล่งอก แต่นักสืบรูปงามตีหน้าเฉย

“คุณคิดอย่างนั้นรึ ผมยังคลายเชือกไม่หมดปมเลย ใต้ความล้ำลึกยังมีอะไรลึกล้ำไปกว่านั้นอีก”

“เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อชัดเจนออกอย่างนั้น ไม่ว่าแรงจูงใจให้ฆ่า รอยเปื้อนเลือดเต็มตัว แล้วยังอธิบายวิธีถอดและสับ สลักกลอนของห้องปิดตายด้วยตนเองนั่นอีก ไม่มีนักสืบบ้าบอบ้องตื้นที่ไหนหรอกครับที่เชื่อว่าไอ้คนที่บอกว่ากระผมไม่ได้เป็นคนฆ่าน่ะไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง”

“โห เยี่ยมมาก โทะระโนะซุเกะไม่ได้เป็นทั้งนักสืบบ้า ๆ บอ ๆ และนักสืบบ้องตื้น แต่คุณ...ผมจะบอกให้ดวงตาแห่งสมองของนักดาบกับของนักสืบน่ะมันต่างกันครับ คุณดูนั่น ขี้ดินที่ตกอยู่เป็นหย่อม ๆ บนโกดัง จุดนั้นต่างหากที่คุณจะต้องเพ่งดวงตาแห่งสมองของคุณลงไป มิฉะนั้นคุณก็จะไม่มีวันจับตัวฆาตกรตัวจริงได้”

“พูดอะไรไม่ได้ความ ดินแค่นั้นหนูมันก็เอาขึ้นมาได้ คุณนี่มันบ้านนอกชัด ๆ ไม่ใช่มืออาชีพเอาเลยให้ตายซี”

“นักสืบเขาไม่เอาสีข้างเข้าถูอย่างนั้นหรอกคุณ พูดออกมาได้ไง ขี้ดินแค่นั้นหนูมันก็เอาขึ้นมาได้ ผมว่ามันเป็นฝีมือของตัวตุ่นมากกว่าละมัง ผมว่าสืบแบบนี้ไม่มีวันจับฆาตกรตัวจริงได้แน่”

หลังจากที่นักสืบเองชินจูโรนัดให้คณะพรรคมาพร้อมหน้ากันที่บ้านของเขาเที่ยงวันพรุ่งนี้ ทั้งหมดก็แยกย้ายกันไปสืบคดีตามแนวของแต่ละคน
กำลังโหลดความคิดเห็น