จากบทประพันธ์ของ Ango Sakaguchi (1906-1955)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
1
วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงฟ้าโปร่งแจ่มใส อิซุมิยะมะ โทระโนะซุเกะเดินลอดซุ้มประตูของคฤหาสน์คะสึไคชูแห่งฮิงะวะ ด้วยสีหน้าไม่เสบยเหมือนมีใครทำอะไรให้ไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ
พอเข้ามาถึงห้องโถงทางเข้าคฤหาสน์ก็ถลาเข้ายึดท้าวแขนเก้าอี้หวายที่วางอยู่ชิดผนังห้องเอาไว้ หายใจหอบราวกับหมดเรี่ยวแรงแต่เพียงแค่นั้น แล้วทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่ใส่ใจว่าขาเก้าอี้นั้นโยกคลอนจวนจะหักมิหักแหล่อยู่แล้ว นักดาบร่างใหญ่เอานิ้วแตะหน้าผากราวกับทำสมาธิอยู่เป็นนานแต่ดูเหมือนจะไม่เกิดปัญญาเฉกเช่นพระศรีอริยเมตไตรย บางครั้งก็ถอนใจคลายความคิดเครียดออกมาเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่งประจันหน้ากับความทุกข์ระทมครั้งยิ่งใหญ่มาหมาด ๆ เสียงถอนใจนั้นดังพอ ๆ กับเสียงวาฬสูดหายใจเต็มที่เตรียมทะยานออกไปข้างหน้า
อยู่ ๆ นักดาบร่างใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนทำท่าเหมือนนักรบหน่วยประจัญบานพิเศษพร้อมออกเดินทางไปสู่สมรภูมิ เพราะคิดได้แล้วว่าต้องเลิกคิดถึงปริศนาทรมานใจเรื่องนี้ด้วยตนเองเสียที

สาวใช้ออกมาเชิญเขาเข้าไปข้างในและไปส่งต่อให้โคะอิโตะหญิงรับใช้ประจำตัวของไคชูพาไปยังห้องทำงานที่อยู่ลึกเข้าไปในคฤหาสน์เช่นเคย โชคดีที่ท่านเจ้าของบ้านไม่มีแขกเพราะยังเช้าตรู่
“กระผมต้องขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งขอรับ ที่มาเอะอะรบกวนความสงบสุขของใต้เท้าแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
ชายร่างใหญ่กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือราวกับน้ำตากำลังจะหยดขณะก้มศีรษะลงคารวะแทบจรดพื้น ไคชูหัวเราะเพราะคุ้น กับท่าทางเกินจริงของบุคคลผู้นี้ดีอยู่
“แต่ละวันมีคนมาหาข้าไม่ได้ว่างเว้น ทั้งมาขอยืมเงิน มาปรึกษาปัญหาชีวิต ครั้งหนึ่งมีคนถูกหมายจับคดีฆ่าคนตายมาขอซ่อนตัวข้าก็ให้หลบอยู่สองสามวัน ทีนี้เอาละซีตำรวจเค้าคงได้เบาะแสส่งคนมาซุ่มสอดแนมอยู่หน้าประตูบ้าน ข้าก็บอกมันว่าอยู่ที่นี่น่ะมันเสี่ยงอันตรายไปหาใครที่พอจะพึ่งพาได้เถิดแล้วก็ให้ข้าวปั้นมันไปสองสามก้อน ระหว่างหลบอยู่ที่นี่เจ้านั้นมันทำตัวเรียบร้อยดีกินอิ่มนอนหลับ แล้วเอ็งล่ะโทะระ เมื่อคืนนอนหลับละซี คนที่เขามา ๆ กันไม่เห็นมีใครที่จะมาขอยืมภูมิปัญญาของข้าเหมือนเอ็งเลยสักคน นักสืบเขาทำกันอย่างนี้รึ”
“อะ...อ้า ขอรับคือเกิดคดีประหลาดลึกล้ำเกินสติปัญญาของคนธรรมดาอย่างกระผมจะหยั่งถึง ชายคนหนึ่งถูกฆ่าในโกดังเก็บสินค้าที่ใส่กลอนปิดสนิทจากข้างใน ฆาตกรฆ่าเหยื่อของมันแล้วไม่มีทางที่จะออกไปจากห้องได้ทั้ง ๆ สลักกลอนยังติดอยู่อย่างนั้น นอกจากจะหายตัวเป็นควันออกไปนะขอรับ”
“ข้าเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้า เอ็งหมายถึงฆาตกรรมที่ร้านขายสินค้าสำหรับสตรีที่นิงเงียวโจงั้นรึ”
“ขอรับใต้เท้า ฆาตรกรรมรายใหญ่อย่างไม่มีใครพบใครเห็นมาก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้แหละขอรับ”
เรื่องมีอยู่ว่าโทเบ คะวะกิ เจ้าของร้านเครื่องประดับสตรีชื่อ “คะวะกิ” ถูกฆ่าตายในห้องชั้นบนของโกดังเก็บสินค้า ตอนพบศพปรากฏว่าห้องที่เขานอนตายอยู่นั้นประตูห้องถูกใส่สลักกลอนแน่นหนาจากข้างใน อย่างไรก็ตามข่าวอาชญากรรมที่ลงในหน้าสามของหนังสือพิมพ์สมัยนั้นอ่านแล้วยากที่จะเชื่อว่าตรงกับความเป็นจริงไปทั้งหมด นักข่าวต่างเขียนเล่นสำนวนสวิงสวายระบายสีตามใจชอบเอาแค่มันปากเข้าว่า อย่างข่าวนี้โปรยว่า “แม่โฉมงามชั้นสูง เสมียนรูปงามปัญญาเลิศ เจ้าอุบายไม่แพ้กัน หางใครเอ่ยจะโผล่ออกมา” แม่โฉมงามชั้นสูงที่ว่านั้นคือโอะมะกินางบำเรอของโทเบนั่นเอง การเขียนข่าวแบบนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เพราะนอกจากจะไม่ให้ข้อคิดอะไรที่พอจะช่วยบ่งชี้ได้ว่าใครเป็นฆาตกรตัวจริงแล้ว ยังเท่ากับเป็นการประจานเรื่องส่วนตัวของผู้ตายให้เป็นเรื่องซุบซิบกันไม่รู้จบอีกด้วย
“นายโทเบคนนี้แกอาศัยอยู่ในโกดังเก็บสินค้ารึ”
“ขอรับ เขาแบ่งชั้นสองของโกดังใช้เป็นที่อยู่ครึ่งหนึ่ง นายคนนี้ภูมิใจเอามาก ๆ กับการที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนร่ำรวยขนาดมีโกดังสินค้าเป็นของตัวเองอย่างนั้น ดูเหมือนเขาจะอิ่มอกอิ่มใจมากกับการกินอยู่หลับนอนในโกดังสินค้าขอรับ”
“เมียก็กินนอนอยู่ในโกดังนั่นด้วยรึ”
“เปล่าขอรับ โทเบอยู่ในนั้นคนเดียว ห้องบนชั้นสองของโกดังเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย มีแต่ตั้งสมุดบัญชีของไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี กับตู้เซฟใบใหญ่แบบโบราณ 1 ตู้เท่านั้นขอรับ”
“แล้วห้องน้ำห้องท่าล่ะทำยังไง”
“เอ เรื่องนี้กระผมไม่ทราบเลยละขอรับ”
“เรื่องอย่างนี้ต้องสืบให้รู้เอาไว้ รากบาปของมนุษย์เรานั้นลึกล้ำสุดที่จะหยั่งถึง การสืบให้รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ ผู้ตายใช้ชีวิตอยู่ยังไง มีนิสัยติดตัวอะไรบ้าง จะช่วยให้เห็นเค้าโครงของคดีได้ชัดขึ้น เอาละ ไหนลองเล่าซิว่าเอ็งไปเห็นอะไรมาบ้าง เล่าเรียงลำดับขั้นตอนให้ดี อย่าให้ตกหล่นเลยทีเดียวนา”
“ขอรับ ขอบพระคุณที่ใต้เท้ากรุณากระผมนะขอรับ”
โทระโนะซุเกะยิ้มออก ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวตามขั้นตอนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
*
โทเบเป็นหัวหน้าเสมียนที่ผ่านการฝึกงานมาอย่างเข้มงวดชนิดเข้ากระดูกดำที่ “ฮะนะจู” ร้านค้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของย่านโยะโกะยะมะโจ แต่ตระกูลนั้นเกิดเรื่องอันไม่เป็นมงคลทับซ้อนหลายครั้งหลายครา จนในที่สุดหัวหน้าครอบครัวทนทุกข์ไม่ได้อีกต่อไปจึงจุดไฟเผาบ้านตนเองและกระโดดลงไปจบชีวิตในกองไฟนั้น เหตุเกิดในปีที่มีการรบพุ่งกันที่วัดคังเอจิ ย่านอุเอะโนะ แม้ว่านายจ้างจะสิ้นบุญไปเช่นนั้นแต่โทเบซึ่งเป็นลูกจ้างก็ไม่เดือดร้อนเพราะพอจะมีเงินที่เก็บหอมรอมริบเอาไว้ตลอดหลายปีที่ทำงานอยู่กับตระกูลนี้อยู่บ้าง ทั้งยังอายุเพียง 30 ปีซึ่งโตเต็มตัวพร้อมที่จะตั้งหลักตั้งฐานได้แล้วด้วย
พอดีกับที่นิงเงียวโจมีร้านค้าว่างอยู่เขาจึงขอซื้อแล้วเปิดกิจการร้านค้า รับช่วงลูกค้าที่เคยเป็นเจ้าประจำกันของนายจ้างผู้ล่วงลับและคุ้นเคยกันดีให้มาซื้อและสั่งซื้อสินค้ากันอย่างสบายใจ ทั้งยังพยายามหาลูกค้าใหม่ ๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กิจการของโทเบจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ต่อมาเขารื้อร้านและสร้างขึ้นใหม่เป็นร้านค้าสวยงามโอ่อ่า ทั้งยังซื้อร้านค้าที่อยู่บนที่ดินติดต่อกันในซอยด้านหลังแล้วรื้อสร้างเป็นเรือนเล็กและโกดังสินค้าขนาดใหญ่อีกด้วย เขาแบ่งพื้นที่บนชั้นสองของโกดังครึ่งหนึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยและนอนกอดตู้เซฟกับสมุดบัญชีอยู่ในนั้น เมื่อมาถึงช่วงนี้เขามอบหมายกิจการให้หัวหน้าเสมียนเป็นคนดูแล โทเบมีกลยุทธ์การบริหารธุรกิจแบบของเขา
ย่านโยะโกะยะมะโจที่อยู่ใกล้เคียงกันมีร้านค้าเก่าแก่ที่สืบทอดกิจการมาหลายชั่วคน มีทั้งร้านเครื่องประดับสตรีและร้านขายสิ่งของใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ อยู่พร้อมเพรียง แต่ละแห่งไม่ต้องทะเยอทะยานอะไรกันอีกเพราะล้วนมีหลักฐานมั่นคงและพอใจกับลูกค้าประจำที่แน่นเหนียวอยู่แล้ว แต่ร้านเปิดใหม่อย่าง “คะวะกิ” จะอยู่เฉยอย่างนั้นเป็นไม่ได้การแน่ ตอนแรก ๆ โทเบเองเป็นคนออกเดินหาลูกค้าจนขาแข็งแทบทุกวัน จนกรัทั่งกิจการมั่นคงมาจนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่นอนใจ
ลูกค้าของร้านเครื่องประดับสตรีส่วนใหญ่คือบรรดาผู้หญิงที่ทำงานอยู่ตามสถานเริงรมย์ที่มีอยู่มากมายหลายแห่งในย่านนั้น ทั้งยังมีพวกคุณนายและลูกสาวตระกูลเจ้าขุนมูลนายและตระกูลพ่อค้าเศรษฐีใหญ่ด้วย ดังนั้นเสมียนที่เข้า ๆ ออก ๆ คฤหาสน์ใหญ่โตของลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องเป็นชายหนุ่มท่าทางดีกิริยามารยาทน่ารักเป็นที่ถูกใจของพวกคุณหญิงคุณนาย แต่ความที่เป็นคนท่าทางดีกิริยามารยาทน่ารักเสมียนหนุ่มพวกนี้จึงกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอม เวลาส่งของอะไรให้กันเป็นต้องหาโอกาสจับมือถือแขนกันบ้าง แค่นั้นก็ยังดีอยู่หรอก เสมียนบางคนได้ใจหว่านเสน่ห์กับคุณนายที่เป็นลูกค้าประจำหลายต่อหลายคนชนิดไม่เลือกหน้าด้วยความคึกคะนอง มีหลายคนก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาทำให้ร้านของตนเสื่อมเสียความเชื่อถือไว้วางใจ

จุดอ่อนนี้เองที่โทเบพยายามคิดแก้ไขและพบว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเสมียนที่ร้านต่าง ๆ ส่งไปเยี่ยมเยือนลูกค้าตามบ้านส่วนใหญ่เป็นพวกหนุ่มวัยคะนองคล่องงาน เขาจึงคิดว่าควรส่งพวกเด็กฝึกงานวัยละอ่อนไปอย่างเดียวเลยจะดีกว่า เมื่อสรุปได้ดังนั้นโทเบก็เริ่มคัดสรรเด็กชายอายุสิบเอ็ดสิบสองที่มีไหวพริบฉลาดเฉลียว กิริยามารยาทดีและหน้าตาน่ารักมีเสน่ห์ประทับใจผู้พบเห็น เอามาฝึกงานจนย่างเข้าวัยรุ่นประมาณสิบห้าสิบหกจึงให้เริ่มออกโรง วิธีของเขาได้ผลดีเกินคาด พวกสาว ๆ รุ่นพี่ตามสถานเริงรมย์เอ็นดูเสมียนหนุ่มน้อยกันทุกคน ส่วนคุณนายตามคฤหาสน์ก็ชอบใจเพราะไม่ต้องระวังเนื้อระวังตัวทั้งยังเพลิดเพลินไปกับความน่ารักน่าเอ็นดูของเสมียนวัยรุ่นช่างเจรจา กลยุทธ์ของโทเบได้รับคำชมเชยเป็นเสียงเดียวกันจากลูกค้าทุกระดับ
ทุกวันนี้ร้านของโทเบมีชูซะกุเป็นเสมียนรุ่นพี่ใหญ่แม้จะยังหนุ่มอยู่มากคืออายุแค่ยี่สิบสามเท่านั้น และมีโยะชิโอะหลานชายอายุเท่ากันกับชูซะกุทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเสมียนดูแลร้านแทนเขา
นอกจากชายหนุ่มสองคนนี้แล้วยังมีเสมียนกลุ่มหนุ่มน้อยคือ คินจิอายุสิบแปด โชเฮอายุสิบเจ็ด ฮิโกะทะโรอายุสิบห้า เซ็นคิจิอายุสิบสาม บุนโซอายุสิบสองอีกด้วย คินจิกับโชเฮเชี่ยวชาญการออกไปเยี่ยมเยือนลูกค้าตามบ้านกันแล้ว และระยะนี้ ฮิโกะทะโรก็กำลังเตรียมตัวออกโรงกับเขาบ้าง ส่วนเซ็นคิจิกับบุนโซยังอยู่ระหว่างฝึกงาน เสมียนแต่ละคนเป็นหนุ่มรูปงามมีคุณสมบัติครบถ้วนตรงตามรสนิยมของโทเบทั้งนั้น แต่พออายุย่างเข้าวัยรุ่นอย่างเจ้าคินจิก็ชักจะรู้จักเที่ยวกันแล้ว เด็กหนุ่มในย่านการค้าส่วนใหญ่มักจะโตเร็ว ดังนั้นถ้าจะทำตามกลยุทธ์ของโทเบแล้วละก็ อีกไม่นานคงไม่เหมาะที่จะส่ง เจ้า คินจิออกไปเยี่ยมเยือนลูกค้าตามบ้าน
ทั้งหมดนั้นคือกลยุทธ์การบริหารแนวใหม่ของร้านคะวะกิแห่งย่านนิงเงียวโจที่มีโทเบเป็นเจ้าของกิจการ
โทเบมีลูกคนเดียวเป็นหญิงชื่ออะยะอายุสิบแปด แต่ป่วยเป็นวัณโรคและไปพักฟื้นอยู่ในหอพักที่มุโคจิมะโดยมีหญิงรับใช้สองคนไปคอยดูแล เมื่อสามปีที่แล้วพอแม่แท้ ๆ ของอะยะเสียชีวิต โทเบก็รับเอานางโอะมะกิ เกอิชาจากย่านยะนะงิบะชิที่เป็นนางบำเรอของเขาเข้ามาอยู่ในเรือนเล็กที่อยู่ติดกับโกดังสินค้า
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ครอบครัวคะวะกิยังมีนางโอะโทะมิกับนางโอะชิโนะ สาวใช้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เอามาก ๆ ทำหน้าที่ดูแลรับใช้คนในบ้านด้วย
โทเบกินอยู่บนชั้นสองของโกดัง เขาดื่มน้ำชาร้อน ๆ ตอนเจ็ดโมงเช้าทุกวันเป็นกิจวัตร โดยนางโอะชิโนะเป็นคนเอากาน้ำร้อนกับลูกบ๊วยดองขึ้นไปส่งให้ถึงห้องในโกดัง
เช้าวันนี้ก็เช่นกัน นางนำกาน้ำร้อนขึ้นไปชั้นบนของโกดังเช่นเคยและพบว่าอาหารมื้อดึกที่นางวางเอาไว้ให้ที่หน้าห้องของโทเบตอนสองยามของเมื่อคืนยังวางอยู่ที่เดิม ตามปกติโทเบจะลงไปกินมื้อเย็นกับนางโอะมะกิที่เรือนเล็ก และจะกินข้าวปั้นเป็นมื้อดึกในห้องชั้นบนของโกดังตอนสองยามทุกคืน เมื่อคืนนางโอะชิโนะเอาข้าวปั้นขึ้นไปให้ แต่เข้าไปในห้องไม่ได้เพราะดูเหมือนประตูห้องจะติดสลักกลอนอยู่ข้างในจึงเปิดไม่ออก ตามปกติแล้วน้อยครั้งมากจะเป็นเช่นนั้น นางคิดว่านายคงจะหลับแล้วเลยวางจานข้าวปั้นไว้นอกห้อง และมันก็ยังอยู่ตรงนั้นเมื่อนางขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า

โทเบเป็นคนนอนดึกและตื่นเช้าซึ่งก็น่าจะพอเพราะนอนกลางวันนาน ๆ ทุกวัน เขาจะตื่นประมาณหกโมงครึ่งแล้วทำธุระในกายตัวจนเสร็จ ซึ่งพอนางโอะชิโนะเอากาน้ำร้อนขึ้นไปตอนเจ็ดโมงก็จะพบโทเบตื่นอยู่แล้วทุกครั้ง แต่ไม่ใช่วันนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะนอนตลอดคืนและจนป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น จะเปิดเข้าไปดูก็ไม่ได้เพราะประตูติดสลักกลอนอยู่ด้านใน ส่งเสียงเรียกเข้าไปก็ไม่ตอบ นางโอะชิโนะเอะใจขึ้นมาทันทีว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
นางคิดจะไปปลุกนางโอะมะกิที่เรือนเล็ก แต่รู้ว่าเมื่อคืนนางดื่มสาเกเข้าไปจนเมามายป่านนี้คงยังหลับไม่รู้เรื่อง ก็เลยไปหาโยะชิโอะหลานชายของโทเบแทน ทว่าพอไปถึงห้องของโยะชิโอะก็ประหลาดอีก ที่นอนที่ปูอยู่มีร่องรอยว่าเจ้าของห้องได้นอนและตื่นแล้ว มีการจัดข้าวของเหมือนจะเดินทางไปไหนทิ้งไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่ไม่เห็นเงาของเจ้าของห้องทำให้ดูเหมือนกับงูลอกคราบเลื้อยหายไปทางไหนไม่รู้ นางไม่รู้จะทำอย่างไรจึงไปปลุกชูซะกุเสมียนหนุ่มรุ่นพี่แล้วเล่าความเป็นมาให้ฟัง ชูซะกุขยี้ตาด้วยความงัวเงียพลางเดินตามสาวใช้ไปที่โกดังสินค้า จริงอย่างที่นางว่าคือไม่ว่าจะทุบประตูและร้องเรียกเพียงใดก็ไม่มีเสียงตอบเป็นที่น่าสงสัย ชูซะกุจึงให้คนไปปลุกนางโอะมะกิให้มาดู พอพังประตูเข้าไปก็พบว่าโทเบถูกแทงด้วยดาบสั้นทะลุแผ่นอกนอนตายอยู่กับพื้นห้องนั้นเอง
ประตูห้องถูกใส่สลักกลอนจากด้านใน ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในห้องปิดตายเช่นนี้จึงเป็นปมปริศนาลึกลับซ้อนเร้นยากที่จะมีใครถอดรหัสได้ จนต้องยืมมือ ชินจูโร นักสืบหนุ่มนักเรียนนอกรูปงามมาคลี่คลาย
ชินจูโรมากันสามคนเช่นเคย คือเขา ฮะนะโนะยะ อิงงะ และ โทระโนะซุเกะ มิซุมิโนะยะมะ โดยมีจ่าตำรวจผู้เฒ่า ฟุรุตะ ชิกะโซ เป็นผู้นำทางไปยังนิงเงียวโจซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ
(โปรดติดตามตอนต่อไปในวันศุกร์หน้า)

แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์
1
วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงฟ้าโปร่งแจ่มใส อิซุมิยะมะ โทระโนะซุเกะเดินลอดซุ้มประตูของคฤหาสน์คะสึไคชูแห่งฮิงะวะ ด้วยสีหน้าไม่เสบยเหมือนมีใครทำอะไรให้ไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ
พอเข้ามาถึงห้องโถงทางเข้าคฤหาสน์ก็ถลาเข้ายึดท้าวแขนเก้าอี้หวายที่วางอยู่ชิดผนังห้องเอาไว้ หายใจหอบราวกับหมดเรี่ยวแรงแต่เพียงแค่นั้น แล้วทิ้งตัวลงนั่งโดยไม่ใส่ใจว่าขาเก้าอี้นั้นโยกคลอนจวนจะหักมิหักแหล่อยู่แล้ว นักดาบร่างใหญ่เอานิ้วแตะหน้าผากราวกับทำสมาธิอยู่เป็นนานแต่ดูเหมือนจะไม่เกิดปัญญาเฉกเช่นพระศรีอริยเมตไตรย บางครั้งก็ถอนใจคลายความคิดเครียดออกมาเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่งประจันหน้ากับความทุกข์ระทมครั้งยิ่งใหญ่มาหมาด ๆ เสียงถอนใจนั้นดังพอ ๆ กับเสียงวาฬสูดหายใจเต็มที่เตรียมทะยานออกไปข้างหน้า
อยู่ ๆ นักดาบร่างใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนทำท่าเหมือนนักรบหน่วยประจัญบานพิเศษพร้อมออกเดินทางไปสู่สมรภูมิ เพราะคิดได้แล้วว่าต้องเลิกคิดถึงปริศนาทรมานใจเรื่องนี้ด้วยตนเองเสียที
สาวใช้ออกมาเชิญเขาเข้าไปข้างในและไปส่งต่อให้โคะอิโตะหญิงรับใช้ประจำตัวของไคชูพาไปยังห้องทำงานที่อยู่ลึกเข้าไปในคฤหาสน์เช่นเคย โชคดีที่ท่านเจ้าของบ้านไม่มีแขกเพราะยังเช้าตรู่
“กระผมต้องขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งขอรับ ที่มาเอะอะรบกวนความสงบสุขของใต้เท้าแต่เช้าตรู่เช่นนี้”
ชายร่างใหญ่กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือราวกับน้ำตากำลังจะหยดขณะก้มศีรษะลงคารวะแทบจรดพื้น ไคชูหัวเราะเพราะคุ้น กับท่าทางเกินจริงของบุคคลผู้นี้ดีอยู่
“แต่ละวันมีคนมาหาข้าไม่ได้ว่างเว้น ทั้งมาขอยืมเงิน มาปรึกษาปัญหาชีวิต ครั้งหนึ่งมีคนถูกหมายจับคดีฆ่าคนตายมาขอซ่อนตัวข้าก็ให้หลบอยู่สองสามวัน ทีนี้เอาละซีตำรวจเค้าคงได้เบาะแสส่งคนมาซุ่มสอดแนมอยู่หน้าประตูบ้าน ข้าก็บอกมันว่าอยู่ที่นี่น่ะมันเสี่ยงอันตรายไปหาใครที่พอจะพึ่งพาได้เถิดแล้วก็ให้ข้าวปั้นมันไปสองสามก้อน ระหว่างหลบอยู่ที่นี่เจ้านั้นมันทำตัวเรียบร้อยดีกินอิ่มนอนหลับ แล้วเอ็งล่ะโทะระ เมื่อคืนนอนหลับละซี คนที่เขามา ๆ กันไม่เห็นมีใครที่จะมาขอยืมภูมิปัญญาของข้าเหมือนเอ็งเลยสักคน นักสืบเขาทำกันอย่างนี้รึ”
“อะ...อ้า ขอรับคือเกิดคดีประหลาดลึกล้ำเกินสติปัญญาของคนธรรมดาอย่างกระผมจะหยั่งถึง ชายคนหนึ่งถูกฆ่าในโกดังเก็บสินค้าที่ใส่กลอนปิดสนิทจากข้างใน ฆาตกรฆ่าเหยื่อของมันแล้วไม่มีทางที่จะออกไปจากห้องได้ทั้ง ๆ สลักกลอนยังติดอยู่อย่างนั้น นอกจากจะหายตัวเป็นควันออกไปนะขอรับ”
“ข้าเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้า เอ็งหมายถึงฆาตกรรมที่ร้านขายสินค้าสำหรับสตรีที่นิงเงียวโจงั้นรึ”
“ขอรับใต้เท้า ฆาตรกรรมรายใหญ่อย่างไม่มีใครพบใครเห็นมาก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้แหละขอรับ”
เรื่องมีอยู่ว่าโทเบ คะวะกิ เจ้าของร้านเครื่องประดับสตรีชื่อ “คะวะกิ” ถูกฆ่าตายในห้องชั้นบนของโกดังเก็บสินค้า ตอนพบศพปรากฏว่าห้องที่เขานอนตายอยู่นั้นประตูห้องถูกใส่สลักกลอนแน่นหนาจากข้างใน อย่างไรก็ตามข่าวอาชญากรรมที่ลงในหน้าสามของหนังสือพิมพ์สมัยนั้นอ่านแล้วยากที่จะเชื่อว่าตรงกับความเป็นจริงไปทั้งหมด นักข่าวต่างเขียนเล่นสำนวนสวิงสวายระบายสีตามใจชอบเอาแค่มันปากเข้าว่า อย่างข่าวนี้โปรยว่า “แม่โฉมงามชั้นสูง เสมียนรูปงามปัญญาเลิศ เจ้าอุบายไม่แพ้กัน หางใครเอ่ยจะโผล่ออกมา” แม่โฉมงามชั้นสูงที่ว่านั้นคือโอะมะกินางบำเรอของโทเบนั่นเอง การเขียนข่าวแบบนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ เพราะนอกจากจะไม่ให้ข้อคิดอะไรที่พอจะช่วยบ่งชี้ได้ว่าใครเป็นฆาตกรตัวจริงแล้ว ยังเท่ากับเป็นการประจานเรื่องส่วนตัวของผู้ตายให้เป็นเรื่องซุบซิบกันไม่รู้จบอีกด้วย
“นายโทเบคนนี้แกอาศัยอยู่ในโกดังเก็บสินค้ารึ”
“ขอรับ เขาแบ่งชั้นสองของโกดังใช้เป็นที่อยู่ครึ่งหนึ่ง นายคนนี้ภูมิใจเอามาก ๆ กับการที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงจนร่ำรวยขนาดมีโกดังสินค้าเป็นของตัวเองอย่างนั้น ดูเหมือนเขาจะอิ่มอกอิ่มใจมากกับการกินอยู่หลับนอนในโกดังสินค้าขอรับ”
“เมียก็กินนอนอยู่ในโกดังนั่นด้วยรึ”
“เปล่าขอรับ โทเบอยู่ในนั้นคนเดียว ห้องบนชั้นสองของโกดังเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีเครื่องประดับอะไรเลย มีแต่ตั้งสมุดบัญชีของไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี กับตู้เซฟใบใหญ่แบบโบราณ 1 ตู้เท่านั้นขอรับ”
“แล้วห้องน้ำห้องท่าล่ะทำยังไง”
“เอ เรื่องนี้กระผมไม่ทราบเลยละขอรับ”
“เรื่องอย่างนี้ต้องสืบให้รู้เอาไว้ รากบาปของมนุษย์เรานั้นลึกล้ำสุดที่จะหยั่งถึง การสืบให้รู้ว่าวันหนึ่ง ๆ ผู้ตายใช้ชีวิตอยู่ยังไง มีนิสัยติดตัวอะไรบ้าง จะช่วยให้เห็นเค้าโครงของคดีได้ชัดขึ้น เอาละ ไหนลองเล่าซิว่าเอ็งไปเห็นอะไรมาบ้าง เล่าเรียงลำดับขั้นตอนให้ดี อย่าให้ตกหล่นเลยทีเดียวนา”
“ขอรับ ขอบพระคุณที่ใต้เท้ากรุณากระผมนะขอรับ”
โทระโนะซุเกะยิ้มออก ชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วเริ่มเล่าเรื่องราวตามขั้นตอนโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
*
โทเบเป็นหัวหน้าเสมียนที่ผ่านการฝึกงานมาอย่างเข้มงวดชนิดเข้ากระดูกดำที่ “ฮะนะจู” ร้านค้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงของย่านโยะโกะยะมะโจ แต่ตระกูลนั้นเกิดเรื่องอันไม่เป็นมงคลทับซ้อนหลายครั้งหลายครา จนในที่สุดหัวหน้าครอบครัวทนทุกข์ไม่ได้อีกต่อไปจึงจุดไฟเผาบ้านตนเองและกระโดดลงไปจบชีวิตในกองไฟนั้น เหตุเกิดในปีที่มีการรบพุ่งกันที่วัดคังเอจิ ย่านอุเอะโนะ แม้ว่านายจ้างจะสิ้นบุญไปเช่นนั้นแต่โทเบซึ่งเป็นลูกจ้างก็ไม่เดือดร้อนเพราะพอจะมีเงินที่เก็บหอมรอมริบเอาไว้ตลอดหลายปีที่ทำงานอยู่กับตระกูลนี้อยู่บ้าง ทั้งยังอายุเพียง 30 ปีซึ่งโตเต็มตัวพร้อมที่จะตั้งหลักตั้งฐานได้แล้วด้วย
พอดีกับที่นิงเงียวโจมีร้านค้าว่างอยู่เขาจึงขอซื้อแล้วเปิดกิจการร้านค้า รับช่วงลูกค้าที่เคยเป็นเจ้าประจำกันของนายจ้างผู้ล่วงลับและคุ้นเคยกันดีให้มาซื้อและสั่งซื้อสินค้ากันอย่างสบายใจ ทั้งยังพยายามหาลูกค้าใหม่ ๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กิจการของโทเบจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ต่อมาเขารื้อร้านและสร้างขึ้นใหม่เป็นร้านค้าสวยงามโอ่อ่า ทั้งยังซื้อร้านค้าที่อยู่บนที่ดินติดต่อกันในซอยด้านหลังแล้วรื้อสร้างเป็นเรือนเล็กและโกดังสินค้าขนาดใหญ่อีกด้วย เขาแบ่งพื้นที่บนชั้นสองของโกดังครึ่งหนึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยและนอนกอดตู้เซฟกับสมุดบัญชีอยู่ในนั้น เมื่อมาถึงช่วงนี้เขามอบหมายกิจการให้หัวหน้าเสมียนเป็นคนดูแล โทเบมีกลยุทธ์การบริหารธุรกิจแบบของเขา
ย่านโยะโกะยะมะโจที่อยู่ใกล้เคียงกันมีร้านค้าเก่าแก่ที่สืบทอดกิจการมาหลายชั่วคน มีทั้งร้านเครื่องประดับสตรีและร้านขายสิ่งของใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ อยู่พร้อมเพรียง แต่ละแห่งไม่ต้องทะเยอทะยานอะไรกันอีกเพราะล้วนมีหลักฐานมั่นคงและพอใจกับลูกค้าประจำที่แน่นเหนียวอยู่แล้ว แต่ร้านเปิดใหม่อย่าง “คะวะกิ” จะอยู่เฉยอย่างนั้นเป็นไม่ได้การแน่ ตอนแรก ๆ โทเบเองเป็นคนออกเดินหาลูกค้าจนขาแข็งแทบทุกวัน จนกรัทั่งกิจการมั่นคงมาจนทุกวันนี้เขาก็ยังไม่นอนใจ
ลูกค้าของร้านเครื่องประดับสตรีส่วนใหญ่คือบรรดาผู้หญิงที่ทำงานอยู่ตามสถานเริงรมย์ที่มีอยู่มากมายหลายแห่งในย่านนั้น ทั้งยังมีพวกคุณนายและลูกสาวตระกูลเจ้าขุนมูลนายและตระกูลพ่อค้าเศรษฐีใหญ่ด้วย ดังนั้นเสมียนที่เข้า ๆ ออก ๆ คฤหาสน์ใหญ่โตของลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องเป็นชายหนุ่มท่าทางดีกิริยามารยาทน่ารักเป็นที่ถูกใจของพวกคุณหญิงคุณนาย แต่ความที่เป็นคนท่าทางดีกิริยามารยาทน่ารักเสมียนหนุ่มพวกนี้จึงกลายเป็นหนุ่มเนื้อหอม เวลาส่งของอะไรให้กันเป็นต้องหาโอกาสจับมือถือแขนกันบ้าง แค่นั้นก็ยังดีอยู่หรอก เสมียนบางคนได้ใจหว่านเสน่ห์กับคุณนายที่เป็นลูกค้าประจำหลายต่อหลายคนชนิดไม่เลือกหน้าด้วยความคึกคะนอง มีหลายคนก่อเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาทำให้ร้านของตนเสื่อมเสียความเชื่อถือไว้วางใจ
จุดอ่อนนี้เองที่โทเบพยายามคิดแก้ไขและพบว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเสมียนที่ร้านต่าง ๆ ส่งไปเยี่ยมเยือนลูกค้าตามบ้านส่วนใหญ่เป็นพวกหนุ่มวัยคะนองคล่องงาน เขาจึงคิดว่าควรส่งพวกเด็กฝึกงานวัยละอ่อนไปอย่างเดียวเลยจะดีกว่า เมื่อสรุปได้ดังนั้นโทเบก็เริ่มคัดสรรเด็กชายอายุสิบเอ็ดสิบสองที่มีไหวพริบฉลาดเฉลียว กิริยามารยาทดีและหน้าตาน่ารักมีเสน่ห์ประทับใจผู้พบเห็น เอามาฝึกงานจนย่างเข้าวัยรุ่นประมาณสิบห้าสิบหกจึงให้เริ่มออกโรง วิธีของเขาได้ผลดีเกินคาด พวกสาว ๆ รุ่นพี่ตามสถานเริงรมย์เอ็นดูเสมียนหนุ่มน้อยกันทุกคน ส่วนคุณนายตามคฤหาสน์ก็ชอบใจเพราะไม่ต้องระวังเนื้อระวังตัวทั้งยังเพลิดเพลินไปกับความน่ารักน่าเอ็นดูของเสมียนวัยรุ่นช่างเจรจา กลยุทธ์ของโทเบได้รับคำชมเชยเป็นเสียงเดียวกันจากลูกค้าทุกระดับ
ทุกวันนี้ร้านของโทเบมีชูซะกุเป็นเสมียนรุ่นพี่ใหญ่แม้จะยังหนุ่มอยู่มากคืออายุแค่ยี่สิบสามเท่านั้น และมีโยะชิโอะหลานชายอายุเท่ากันกับชูซะกุทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเสมียนดูแลร้านแทนเขา
นอกจากชายหนุ่มสองคนนี้แล้วยังมีเสมียนกลุ่มหนุ่มน้อยคือ คินจิอายุสิบแปด โชเฮอายุสิบเจ็ด ฮิโกะทะโรอายุสิบห้า เซ็นคิจิอายุสิบสาม บุนโซอายุสิบสองอีกด้วย คินจิกับโชเฮเชี่ยวชาญการออกไปเยี่ยมเยือนลูกค้าตามบ้านกันแล้ว และระยะนี้ ฮิโกะทะโรก็กำลังเตรียมตัวออกโรงกับเขาบ้าง ส่วนเซ็นคิจิกับบุนโซยังอยู่ระหว่างฝึกงาน เสมียนแต่ละคนเป็นหนุ่มรูปงามมีคุณสมบัติครบถ้วนตรงตามรสนิยมของโทเบทั้งนั้น แต่พออายุย่างเข้าวัยรุ่นอย่างเจ้าคินจิก็ชักจะรู้จักเที่ยวกันแล้ว เด็กหนุ่มในย่านการค้าส่วนใหญ่มักจะโตเร็ว ดังนั้นถ้าจะทำตามกลยุทธ์ของโทเบแล้วละก็ อีกไม่นานคงไม่เหมาะที่จะส่ง เจ้า คินจิออกไปเยี่ยมเยือนลูกค้าตามบ้าน
ทั้งหมดนั้นคือกลยุทธ์การบริหารแนวใหม่ของร้านคะวะกิแห่งย่านนิงเงียวโจที่มีโทเบเป็นเจ้าของกิจการ
โทเบมีลูกคนเดียวเป็นหญิงชื่ออะยะอายุสิบแปด แต่ป่วยเป็นวัณโรคและไปพักฟื้นอยู่ในหอพักที่มุโคจิมะโดยมีหญิงรับใช้สองคนไปคอยดูแล เมื่อสามปีที่แล้วพอแม่แท้ ๆ ของอะยะเสียชีวิต โทเบก็รับเอานางโอะมะกิ เกอิชาจากย่านยะนะงิบะชิที่เป็นนางบำเรอของเขาเข้ามาอยู่ในเรือนเล็กที่อยู่ติดกับโกดังสินค้า
นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ครอบครัวคะวะกิยังมีนางโอะโทะมิกับนางโอะชิโนะ สาวใช้หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่เอามาก ๆ ทำหน้าที่ดูแลรับใช้คนในบ้านด้วย
โทเบกินอยู่บนชั้นสองของโกดัง เขาดื่มน้ำชาร้อน ๆ ตอนเจ็ดโมงเช้าทุกวันเป็นกิจวัตร โดยนางโอะชิโนะเป็นคนเอากาน้ำร้อนกับลูกบ๊วยดองขึ้นไปส่งให้ถึงห้องในโกดัง
เช้าวันนี้ก็เช่นกัน นางนำกาน้ำร้อนขึ้นไปชั้นบนของโกดังเช่นเคยและพบว่าอาหารมื้อดึกที่นางวางเอาไว้ให้ที่หน้าห้องของโทเบตอนสองยามของเมื่อคืนยังวางอยู่ที่เดิม ตามปกติโทเบจะลงไปกินมื้อเย็นกับนางโอะมะกิที่เรือนเล็ก และจะกินข้าวปั้นเป็นมื้อดึกในห้องชั้นบนของโกดังตอนสองยามทุกคืน เมื่อคืนนางโอะชิโนะเอาข้าวปั้นขึ้นไปให้ แต่เข้าไปในห้องไม่ได้เพราะดูเหมือนประตูห้องจะติดสลักกลอนอยู่ข้างในจึงเปิดไม่ออก ตามปกติแล้วน้อยครั้งมากจะเป็นเช่นนั้น นางคิดว่านายคงจะหลับแล้วเลยวางจานข้าวปั้นไว้นอกห้อง และมันก็ยังอยู่ตรงนั้นเมื่อนางขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า
โทเบเป็นคนนอนดึกและตื่นเช้าซึ่งก็น่าจะพอเพราะนอนกลางวันนาน ๆ ทุกวัน เขาจะตื่นประมาณหกโมงครึ่งแล้วทำธุระในกายตัวจนเสร็จ ซึ่งพอนางโอะชิโนะเอากาน้ำร้อนขึ้นไปตอนเจ็ดโมงก็จะพบโทเบตื่นอยู่แล้วทุกครั้ง แต่ไม่ใช่วันนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะนอนตลอดคืนและจนป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น จะเปิดเข้าไปดูก็ไม่ได้เพราะประตูติดสลักกลอนอยู่ด้านใน ส่งเสียงเรียกเข้าไปก็ไม่ตอบ นางโอะชิโนะเอะใจขึ้นมาทันทีว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
นางคิดจะไปปลุกนางโอะมะกิที่เรือนเล็ก แต่รู้ว่าเมื่อคืนนางดื่มสาเกเข้าไปจนเมามายป่านนี้คงยังหลับไม่รู้เรื่อง ก็เลยไปหาโยะชิโอะหลานชายของโทเบแทน ทว่าพอไปถึงห้องของโยะชิโอะก็ประหลาดอีก ที่นอนที่ปูอยู่มีร่องรอยว่าเจ้าของห้องได้นอนและตื่นแล้ว มีการจัดข้าวของเหมือนจะเดินทางไปไหนทิ้งไว้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แต่ไม่เห็นเงาของเจ้าของห้องทำให้ดูเหมือนกับงูลอกคราบเลื้อยหายไปทางไหนไม่รู้ นางไม่รู้จะทำอย่างไรจึงไปปลุกชูซะกุเสมียนหนุ่มรุ่นพี่แล้วเล่าความเป็นมาให้ฟัง ชูซะกุขยี้ตาด้วยความงัวเงียพลางเดินตามสาวใช้ไปที่โกดังสินค้า จริงอย่างที่นางว่าคือไม่ว่าจะทุบประตูและร้องเรียกเพียงใดก็ไม่มีเสียงตอบเป็นที่น่าสงสัย ชูซะกุจึงให้คนไปปลุกนางโอะมะกิให้มาดู พอพังประตูเข้าไปก็พบว่าโทเบถูกแทงด้วยดาบสั้นทะลุแผ่นอกนอนตายอยู่กับพื้นห้องนั้นเอง
ประตูห้องถูกใส่สลักกลอนจากด้านใน ฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในห้องปิดตายเช่นนี้จึงเป็นปมปริศนาลึกลับซ้อนเร้นยากที่จะมีใครถอดรหัสได้ จนต้องยืมมือ ชินจูโร นักสืบหนุ่มนักเรียนนอกรูปงามมาคลี่คลาย
ชินจูโรมากันสามคนเช่นเคย คือเขา ฮะนะโนะยะ อิงงะ และ โทระโนะซุเกะ มิซุมิโนะยะมะ โดยมีจ่าตำรวจผู้เฒ่า ฟุรุตะ ชิกะโซ เป็นผู้นำทางไปยังนิงเงียวโจซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ
(โปรดติดตามตอนต่อไปในวันศุกร์หน้า)