นักเศรษฐศาสตร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยระบุว่าบริษัทจำเป็นต้องขึ้นค่าจ้างให้กับลูกจ้างชั่วคราวที่มีอยู่มากถึงร้อยละ 30
เมื่อวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม รัฐบาลญี่ปุ่นปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว โดยระบุว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ที่แท้จริงของญี่ปุ่นเติบโตในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี ลดลงจากประมาณการณ์เบื้องต้นร้อยละ 2.2 ที่ประกาศไปเมื่อเดือนที่แล้ว
ทางด้านตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม เกินดุล 61,400ล้านเยน ซึ่งเกินดุลเป็นเดือนที่ 7ติดต่อกัน
สำนักข่าว NHK ได้สอบถามความเห็นของคุณทะโร ไซโต หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันวิจัยบริษัทประกันชีวิตนิปปอน เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปัจจุบัน
คุณไซโตระบุว่า ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดที่เป็นบวกมีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันดิบลดลงทำให้มูลค่าการนำเข้าลดลง ราคาน้ำมันดิบที่ถูกลงยังช่วยพยุงเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการใช้จ่ายส่วนบุคคล
ขณะเดียวกัน ตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่ลดลง เป็นผลจากการปรับลดการลงทุนในสินค้าคงคลังของบริษัท ขณะที่การใช้จ่ายส่วนบุคคลยังคงซบเซา หลังจากมีการปรับขึ้นภาษีผู้บริโภคเมื่อเดือนเมษายน ปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ถูกลงทำให้ราคาสินค้าไม่ปรับตัวสูงขึ้น และผู้บริโภคก็มีความพร้อมที่จะจับจ่ายมากกว่าเมื่อปีที่แล้ว
ด้านการส่งออก บริษัทญี่ปุ่นสามารถเพิ่มการส่งออกชิ้นส่วนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนไปยังจีนและเอเชีย และการส่งออกไปยังสหรัฐฯก็กำลังเติบโตเช่นกัน การส่งออกที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มยอดกำไรของบริษัท และกระตุ้นให้ธุรกิจต่างๆ เพิ่มการลงทุนในทรัพย์สินมากขึ้น
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำสถาบันวิจัยบริษัทประกันชีวิตนิปปอนคาดว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะเร่งเครื่องอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสแรกของปี 2558 ในอัตราร้อยละ 2.6ต่อปี
ทั้งนี้ ปัจจัยตัดสินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น คือ การเพิ่มค่าจ้าง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเงินในกระเป๋าของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ระบบการจ้างงานในญี่ปุ่นเป็นอุปสรรคใหญ่สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากคนทำงานกว่าร้อยละ 30 ในญี่ปุ่นนั้นเป็นผู้ที่ทำงานไม่เต็มเวลา และพนักงานประเภทที่ไม่ใช่พนักงานประจำ โดยรัฐบาลญี่ปุ่นพยายามกระตุ้นให้บริษัมต่างๆขึ้นค่าจ้างให้กับบรรดาลูกจ้างชั่วคราว แต่ก็ไม่เป็นผลมากนัก.