เราจึงควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามิน รวมทั้งสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งสารอาหารบางชนิดร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง แต่จะได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega 3)
โอเมก้า 3 คือ กรดไขมันชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อร่างกาย ซึ่งไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากการบริโภคอาหาร แหล่งของ โอเมก้า 3 ได้จาก ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาแซลมอน ปลาแม็คเคอเรล ปลาทูน่า หรือปลาน้ำจืดบางชนิด สำหรับประเทศไทย มีปลาน้ำจืด ที่มีโอเมก้า 3 สูง และหาทานได้ง่ายทั่วไป เช่น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาดุก เป็นต้น นอกจากนี้ สามารถพบได้ใน เมล็ดวอลนัท บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ เต้าหู้ ผักขม กุ้ง หอยแครง ปลาเฮริ่ง ถั่วเหลือง ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม
การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 อย่างเหมาะสม จะทำให้ร่างกายทำงานเป็นปกติและแทบทุกระบบการทำงานภายในร่างกาย ต้องใช้ประโยชน์จากกรดไขมันนี้ เช่น ระบบหลอดเลือดหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยลดไขมันคอเลสเตอรอล ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน โรคอัมพาต ระบบประสาท ช่วยเพิ่มความจำ ดีต่อสายตา ช่วยในการมองเห็น ระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการภูมิแพ้ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบสืบพันธุ์ ระบบข้อกระดูก นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการข้ออักเสบ และที่สำคัญช่วยให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์และสดใส ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน และเส้นใยอีลาสติน
โอเมก้า 3 ดีต่อสตรีมีครรภ์ มีความสำคัญในการพัฒนาระบบประสาท ระบบสายตาและระบบสมอง ของทารกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด และในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากคลอด โดยควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง โอเมก้า 3 ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็ก เช่น ช่วยพัฒนาการทำงานของสมอง และจิตใจ เพิ่มสมาธิ ความจำระยะสั้น และทักษะในการอ่าน
นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปกป้องกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กๆ ควรจะได้รับปริมาณโอเมก้า 3 ในระดับสมดุลกับอาหารของเด็กที่รับประทานในแต่ละวัน โอเมก้า 3 มีความสำคัญต่อสุขภาพ หลายคนพอได้ยินว่าเป็น ไขมัน ก็ไม่ยอมรับประทาน หากเลือกรับประทานไขมันที่ดีก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และเมื่อสุขภาพภายในของเราดีย่อมส่งผลให้สุขภาพภายนอกดีตามมา เหมือนคำพูดที่ You are what you eat กินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น