การจัดฟัน เป็นศาสตร์ด้านทันตกรรมชั้นสูง มีขึ้นเพื่อแก้ไขความผิดปกติของการสบฟัน เช่น ฟันไม่สบกัน ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฯลฯ ส่งผลให้การบดเคี้ยวอาหารผิดปกติ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น ทำให้เคี้ยวอาหารไม่แหลก กระทบต่อระบบทางเดินอาหาร ซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบต่อการทำงานของข้อต่อขากรรไกร สังเกตได้จากการมีเสียงดัง "คลิก" บริเวณหน้าหูเมื่ออ้าปากกว้าง หรือปวดข้อต่อขากรรไกรเวลาเคี้ยวอาหาร หากเป็นมากอาจส่งผลให้ปวดศีรษะ คลื่นใส้ อาเจียน จำเป็นที่จะต้องจัดเรียงฟันเสียใหม่ให้สบกันได้ตามธรรมชาติของแต่ละคน
สมัยผมเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ จำได้ว่า กว่าจะได้ขึ้นคลินิกทันตกรรมจัดฟัน ก็ต้องเรียนทฤษฎีก่อนหน้าหลายปีจนเข้าใจที่มาที่ไป และยังต้องผ่านการเคี่ยวกรำในห้องปฎิบัติการควบคู่กันไปด้วย ตั้งแต่หัดพิมพ์ปาก ทำแบบจำลองปูนพลาสเตอร์ ดัดลวดให้ได้ความโค้งและองศาที่ถูกต้อง แต่ที่ยากที่สุดก็น่าจะได้แก่ การอ่านและวิเคราะห์ภาพ X-Ray กระโหลกศีรษะของผู้ป่วย แรกๆผมเคยสงสัยว่า จะจัดฟันทำไมต้อง X-Ray กะโหลก มันเกี่ยวกันตรงไหน เรียนไปสักพักจึงได้เห็นความเชื่อมโยง และต่อมาก็ตระหนักว่า จุดชี้ขาดความสำเร็จของการจัดฟัน คือการประเมินผู้ป่วย เพื่อหาให้ได้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ไหนและสาเหตุของปัญหาคืออะไร ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่ฟันหน้าบนและล่างไม่สบกันและมีลักษณะเปิดออกไปด้านหน้า แต่ฟันซี่อื่นเรียงตัวกันตามปกติ อาจเกิดจากการดูดนิ้วมือ ถ้าแก้การดูดนิ้วได้ในเวลาและช่วงอายุที่เหมาะสม อาจจัดฟันได้สำเร็จโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือจัดฟันเลยก็ได้
แต่ก็ใช่ว่าการจัดฟันจะประสบความสำเร็จไปเสียทั้งหมด เพราะด้วยความที่ฟันมีขนาดเล็ก เส้นประสาทเส้นเลือดที่มาเลี้ยงฟันยิ่งเล็กกว่ามาก การขยับฟันจากตำแหน่งหนึ่งไปอยู่ตำแหน่งใหม่ จะต้องใช้แรงดันในขนาดพอเหมาะและต่อเนื่องในห้วงเวลาหนึ่ง พอที่จะทำให้กระดูกที่หุ้มรากฟันไว้ละลายตัว ทำให้ฟันขยับไปในทิศที่ต้องการ เพราะถ้าหากใช้แรงน้อยเกินไปฟันก็ไม่ขยับ แต่หากใช้แรงมากเกินไป นอกจากฟันจะไม่ขยับแล้ว ก็อาจทำให้ฟันซี่นั้นตายไปเลยก็ได้
กว่าคนไข้จะได้ใส่เครื่องมือก็ต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะมีกระบวนการตามที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่เมื่อได้ใส่เครื่องมือในปากแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาอีกมาก คนไข้เองก็ต้องทนรำคาญเครื่องมือที่เป็นของแปลกปลอมในปาก ทานอาหารเมื่อไรเศษอาหารก็มักจะไปติด ถ้าแปรงไม่ดีก็จะกลายเป็นคนมีกลิ่นปาก บางครั้งเมื่อฟันขยับไปแล้ว อาจมีปลายลวดส่วนเกินออกมาระคายกระพุ้งแก้ม ต้องทนรำคาญกันเป็นปีกว่าจะสำเร็จ
สมัยก่อน การจัดฟันยังไม่แพร่หลายเหมือนในปัจจุบัน ทำเพื่อแก้ไขปัญหาเท่านั้น ปัจจุบันมีผู้นิยมการจัดฟันมากขึ้นแม้ว่าจะไม่มีปัญหาการสบฟันผิดปกติ แต่ด้วยเหตุผลด้านความสวยงาม ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เครื่องมือจัดฟันได้กลายเป็นแฟชั่นไปเสียแล้ว เพราะบางคนไม่ได้ต้องการจัดฟัน แต่ต้องการใส่เครื่องมือเพื่อทำให้ดูคล้ายกับจัดฟัน แน่นอนว่าไม่มีทันตแพทย์คนไหนทำให้แน่ แต่เมื่อมีความต้องการ จึงเกิดอาชีพรับทำเครื่องมือจัดฟันใส่ให้กับผู้ที่มีความต้องการ ล่าสุดมีผู้ใช้นามว่า "ขันทอง" โฆษณาใน Facebook กันอย่างเปิดเผยโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ราวกับขายที่คาดผม
แม้ว่าสโลแกนของระบบหลักประกันสุขภาพคือ "๓๐ บาทรักษาทุกโรค" แต่ไม่รวมถึงการจัดฟัน เพราะมิใช่การรักษาขั้นพื้นฐาน ยกเว้นแต่การจัดฟันในผู้ป่วยเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ที่มีการเรียงตัวของฟันผิดปกติ จนส่งผลต่อการออกเสียงคำพูด การสบฟัน และเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตในสังคม
เรื่องของ “ขันทอง” เป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นในโลกแห่งทุนนิยม และสังคมประชาธิปไตยอันไร้ขอบเขต หากพร่องไปด้วย “ศีลธรรม” และ “จรรยา” แต่เมื่อมองลึกลงไปถึงรากเหง้าของปัญหา ก็จะพบว่า พวกเราเองก็มีส่วนไม่น้อยที่กระตุ้นให้เกิด “ความต้องการเทียม” และลัทธิ “เอาอย่างกัน” ขึ้นมาอย่างมากมาย จนประชาชนคนธรรมดาสบช่องในการทำธุรกิจ บวกกับความรวดเร็วและกว้างขวางของการสื่อสารแบบไร้พรมแดน จึงเกิดกรณี “ขันทอง” แพร่หลายในโลกของ Social media ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องกุมขมับอยู่ในทุกวันนี้