xs
xsm
sm
md
lg

วิธีลดความอ้วนแบบได้ผลด้วยวิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


วิธีลดความอ้วนแบบได้ผลด้วยวิธีการดื่มน้ำที่ถูกต้อง

เราจะดื่มน้ำอย่างไรให้ช่วยในการลดความอ้วน ต้องดื่มน้ำวันละกี่ลิตร! บางความเชื่อผิดๆบอกว่ายิ่งดื่มน้ำยิ่งตัวบวม ก็จะยิ่งอ้วน แล้วน้ำจะช่วยเราในการลดความอ้วนแบบได้ผลจริงๆ ได้อย่างไรเรามาดูข้อเท็จจริงและหลักการดื่มน้ำลดน้ำหนักให้ได้ผลกันนะคะ

ดื่มน้ำเพื่อให้ไตทำงานปกติ

การที่ต้องดื่มน้ำ เพื่อให้ไตทำงานได้ดีเป็นปกติ ไตไม่สามารถทำงานได้ผลอย่างมีประสิทธิภาพ หากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงาน ได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ต้องทำงานหนักแทน
หน้าที่หลักของตับ คือ ช่วยเร่งการเผาผลาญของไขมันที่สะสมในร่างกาย แต่เมื่อตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ร่างกายของเราการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และทำให้สะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และการลดความอ้วนจะหยุดชะงักลง
น้ำช่วยให้กล้ามเนื้อของเราชุ่มชื่นและยังทำให้ผิวไม่เหี่ยวเมื่อเราลดความอ้วนวิธีนี้จำเป็นมากๆ

น้ำช่วยลดความอยากอาหารก็ช่วยลดความอ้วนแบบได้ผลจริงๆ

ในเวลาที่ร่างกายต้องการน้ำเพิ่ม บางครั้งร่างกายก็เรียกร้องด้วยอาการหิว คนที่ดื่มน้ำไม่พอจึงมักหิวบ่อยๆ หากระหว่างมื้ออาหาร ถ้ารู้สึกหิวลองดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ แล้วจะรู้สึกดีขึ้นโดยไม่ต้องไปพึ่งพาขนมต่างๆ มาดับความหิว

ยิ่งลดความอ้วนให้ได้ผลยิ่งต้องดื่มน้ำ

ในช่วงเวลาที่เรากำลังลดน้ำหนักอยู่นั้น เราจะรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา เพราะร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำเป็นจำนวนมากกว่าปกติ เพื่อช่วยในการเผาผลาญไขมัน หากเราดื่มน้ำน้อยก็จะลดความอ้วนได้ผลช้าและอาจมีปัญหาน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุได้

น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก

น้ำยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกด้วย หากร่างกาย ได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลเป็นมะเร็จลำไส้ได้ และปัญหาท้องผูกก็ทำให้เราลดน้ำหนักได้ผลช้าลง

ยิ่งดื่มน้ำน้อยยิ่งตัวบวม

การที่เราดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายมีการปรับตัวโดยการพยายามเก็บน้ำไว้ จนทำให้มีอาการบวมน้ำ และเป็นสาเหตุให้เราดูอ้วนขึ้น มีเซลลูไลท์ง่ายขึ้น

รูปแบบวิธีดื่มน้ำลดความอ้วนให้ได้ผลได้อย่างไร

1. ดื่มน้ำอย่างน้อย 1 แก้ว หลังตื่นนอน จะทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทั้งหนักและเบาทำงานได้ดี บรรเทาปัญหาอาการท้องผูกได้

2. ควรดื่มน้ำก่อนอาหาร 1 ชั่วโมงและหลังอาหารครึ่งชั่วโมง ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหารเพราะจะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ส่งผลให้ระบบการย่อยทำงานช้าลง ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารเต็มที่ จะเกิดอาการหิวได้ง่าย การลดความอ้วนก็จะได้ผลช้าลง วิธีแก้คือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำแกงแทน เคี้ยวอาหารช้าๆ ก่อนกลืนก็จะช่วยลดการกระหายน้ำได้

3. ดื่มน้ำทุกครั้งที่ร่างกายเรียกร้อง อย่ารอให้เรารู้สึก คอแห้ง ปากแห้ง เพราะแสดงถึงร่างกายเรามีอาการขาดน้ำ และอย่าดื่มทีละมากๆ ในครั้งเดียว

4. ผู้ที่ออกกำลังกายและอยู่กลางแจ้ง ควรดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมง และดื่มน้ำครึ่งแก้วทุก 15 นาทีของการออกกำลังกาย

5. ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8-12 แก้ว ไม่ควรเครื่องดื่มพวกน้ำหวาน น้ำอัดลมต่างๆ และควรดื่มน้ำกระจายสม่ำเสมอทั้งวัน

6.เราควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตร มีสูตรคำนวณปริมาณน้ำที่ควรดื่มคือ น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม คูณ 40 หาร 1000 เป็นปริมาณน้ำ (ลิตร) เช่น น้ำหนักตัว 56 กิโลกรัม ปริมาณน้ำที่ควรได้รับคือ 56*40/1000 = 2.24 ลิตรค่ะ

วิธีการดื่มน้ำลดความอ้วนให้ได้ผลดีตามที่กล่าวมานั้น จำเป็นต้องดูความเหมาะสมด้วย เพราะการดื่มน้ำมากเกินไป เป็นลิตรๆในระยะเวลาสั้นๆ อาจเป็นการขับแร่ธาตุบางอย่างออกมามากเกินความจำเป็น เช่น ธาตุโซเดียม ซึ่งจะทำให้อ่อนเพลีย และอาจเป็นตะคริวได้ ดังนั้นพึงระลึกอยู่เสมอว่า อาหารที่เราทานนั้นมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว การดื่มน้ำเป็นการช่วยเสริมไม่ให้ร่างกายต้องอยู่ในภาวะขาดน้ำเท่านั้น ดังนั้นควรดื่มแต่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป เราก็จะได้ประโยชน์และคุณค่าของการดื่มน้ำได้อย่างเติมที่
กะหล่ำปลี สรรพคุณและประโยชน์ของกะหล่ำปลี
กะหล่ำปลี สรรพคุณและประโยชน์ของกะหล่ำปลี
กะหล่ำปลี กะหล่ำปลี หรือ กะหล่ำใบ หรือ กะหล่ำปลีเขียว ภาษาอังกฤษ Cabbage มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Brassica oleracea L. var. capitata L. ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆ กันจะเป็นกะหล่ำปลีสีเขียว แต่สีอื่นๆก็มีเช่นกัน เช่น ขาว ม่วง และสีแดง ต้นกะหล่ำปลี เดิมแล้วมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเมดิเตอเรเนียน และภายหลังได้แพร่กระจายทั่วไป โดยกะหล่ำปลีจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ กะหล่ำปลีธรรมดา (พันธุ์โกลเดน เอเคอร์, พันธุ์โคเปนเฮเกนมาร์เก็ต), กะหล่ำปลีแดง (ใบเป็นสีแดงทับทิม ขึ้นดีในอากาศหนาวเย็น), กะหล่ำปลีใบย่น (ขึ้นได้ที่มีอากาศหนาวเย็นเป็นพิเศษ) กะหล่ำปลีดิบ มีวิตามิซีสูงการนำไปปรุงอาหารควรใช้วิธีการนึ่งจะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด หรือจะรับประทานเป็นผักสลัดได้ก็ ทั้งนี้ไม่ควรนำไปนึ่ง ต้ม ผัดนานจนเกินไป ผักกะหล่ำปลี นั้นมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นตัวขัวขวางการดูดซึมของไอโอดีนผลที่ตามมาก็คืออาจทำให้เป็นคอหอยพอกได้ แต่สารพิษที่ว่านี้จะถูกทำลายด้วยวิธีการนำไปต้ม ดังนั้นจึงควรรับประทานกะหล่ำปลีที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า แม้ว่าวิตามินจะหายไปบ้างก็ตาม แต่ก็มีคำแนะนำว่าการเกิดปัญหาจากสารพิษชนิดนี้ไม่ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะถ้าจะรับประทานกะหล่ำปลีจนถึงขนาดได้รับสารกอยโตรเจน ต้องเป็นการรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำและในปริมาณมาก ดังนั้นจึงไม่ต้องตกใจและกังวล เล็กๆน้อยๆนานๆกินทีไม่มีอันตรายแน่นอนครับ ! กะหล่ำปลีดิบควรรับประทานแต่พอเหมาะ เนื่องจากการรับประทานมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้ และที่สำคัญควรระมัดระวังเรื่องยาฆ่าแมลงให้มาก เพราะกะหล่ำปลีนั้นติดอับดับ 1 ใน 5 ผักที่มีสารปนเปื้อนมากที่สุด การบริโภคเข้าไปในปริมาณมากอาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน มีอาการชักหรือหมดสติได้ ก่อนการนำมารับประทานก็ควรล้างให้สะอาดก่อน ด้วยวิธีการลอกหรือปอกเปลือกออกแล้วแช่น้ำสะอาดประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้งจะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ร้อยละ 25-72 ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด และสำหรับวิธีอื่นๆก็เช่น แช่น้ำปูนใส, การใช้ความร้อน, แช่น้ำด่างทับทิม, ล้างด้วยนำไหลจากก๊อก, แช่น้ำซาวข้าว, แช่น้ำสมสายชูหรือเกลือป่น, แช่น้ำยาล้างผัก เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น