เอเอฟพี - ฝูงโลมาอิรวดีหายากแหวกว่ายไปตามลำน้ำสีขุ่นของแม่น้ำโขง เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดานักท่องเที่ยวที่เฝ้ารอดูพวกมันโผล่พ้นผิวน้ำจากเรือที่ลอยลำอยู่ใกล้ๆ
ภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจเหล่านี้อาจกลายเป็นเพียงความทรงจำในไม่ช้า เนื่องจากจำนวนประชากรของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใกล้สูญพันธุ์นี้กำลังลดลงเรื่อยๆ แม้จะมีความพยายามที่จะรักษาพวกมันไว้ก็ตาม
กัมพูชาได้ประกาศข้อจำกัดใหม่ที่เข้มงวดขึ้นกับการจับปลาในแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่แห่งนี้เพื่อพยายามลดจำนวนโลมาที่ตายเพราะอวนจับปลา
แต่ในประเทศที่มีทรัพยากรทางการเงินจำกัด นับเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวงในการบังคับใช้กฎระเบียบดังกล่าวกับแม่น้ำที่กว้างหลายร้อยเมตร และเต็มไปด้วยเกาะแก่งและพุ่มไม้หนา
“เรากลัวว่าจะปกป้องคุ้มครองพวกมันไม่ได้” พล พะโรง หนึ่งในผู้ตรวจตราแม่น้ำกล่าวระหว่างลาดตระเวนค้นหาอวนผิดกฎหมาย
อวนติดตาเป็นตาข่ายแนวตั้งที่ทิ้งไว้ในน้ำเป็นเวลานาน ใช้ดักจับปลาแบบไม่เลือก และเป็นสาเหตุหลักของการตายของโลมาในแม่น้ำโขง ตามการระบุของนักอนุรักษ์
พะโรงเป็นหนึ่งในผู้เฝ้าตรวจตราแม่น้ำกว่า 70 คน ที่ออกลาดตระเวนตามลำน้ำโขง ที่มีระยะทาง 120 กิโลเมตร จาก จ.กระแจะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ไปจนถึงชายแดนลาว
ผู้ตรวจตราแม่น้ำเหล่านี้กล่าวว่า ความพยายามของพวกเขาถูกขัดขวางจากทรัพยากรที่มีจำกัด และการข่มขู่ของแก๊งจับปลา
ม็อก พลล็อก เจ้าหน้าที่จากกรมประมงที่เป็นหัวหน้าหน่วยอนุรักษ์โลมาใน จ.กระแจะ กล่าวว่า หน่วยของเขามีผู้ตรวจตราแม่น้ำ 44 คน ที่คอยเฝ้าระวังการทำประมงผิดกฎหมายในแม่น้ำเป็นระยะทาง 85 กิโลเมตร แต่หากจะให้การทำงานมีประสิทธิภาพต้องใช้คนอย่างน้อย 60 คน และหากไม่มีคนเหล่านี้ พวกเขาก็กำลังพ่ายแพ้ให้คนจับปลาในแม่น้ำ
“ถ้าเราออกลาดตระเวนตอนกลางคืน คนจับปลาจะไม่ออกมา พอเรากลับเข้าฝั่ง พวกเขาก็ไปที่แม่น้ำ” พะโรง กล่าว
นอกจากจำนวนคนที่ไม่เพียงพอแล้ว ค่าจ้างต่ำยังหมายความว่าผู้ตรวจตราแม่น้ำถูกบังคับให้ต้องทำงานพิเศษบนบกเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว ทำให้พวกเขาต้องละหน้าที่ลาดตระเวน ผู้ตรวจตราแม่น้ำแต่ละคนได้รับเงินประมาณ 65 ดอลลาร์ต่อเดือนจากรัฐบาล ขณะที่ WWF ให้เงินอีก 5 ดอลลาร์สำหรับวันที่ออกลาดตระเวน
โลมาอิรวดี สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กขี้อาย หน้าผากปูดกลมและจะงอยปากสั้น ครั้งหนึ่งเคยว่ายผ่านแม่น้ำโขงไปจนถึงสามเหลี่ยมปากแม่น้ำในเวียดนาม
การทำประมงผิดกฎหมายและขยะพลาสติกคร่าชีวิตโลมาไปเป็นจำนวนมาก และที่อยู่อาศัยของโลมาก็ลดลงเนื่องจากเขื่อนต้นน้ำและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระดับน้ำในแม่น้ำ
ประชากรโลมาในแม่น้ำโขงลดลงจาก 200 ตัว เมื่อครั้งดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งแรกในปี 2540 เหลือเพียง 89 ตัวในปี 2563
สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นี้อาศัยอยู่ในแม่น้ำอีก 2 สายเท่านั้น คือ แม่น้ำอิรวดีของพม่า และแม่น้ำมาฮากัม ในอินโดนีเซีย ตามการระบุของ WWF
โลมาในแม่น้ำทั้ง 3 สายพันธุ์นี้ถูกระบุว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในบัญชีแดงของสหภาพเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)
โลมาอิรวดีที่พบได้ทั้งในน้ำจืดและน้ำเค็ม มีจำนวนมากกว่าเล็กน้อยในพื้นที่ชายฝั่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แม้ว่าพวกมันจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตใกล้สูญพันธุ์ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม มีความวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของโลมาแม่น้ำโขง เนื่องจากประมาณ 70% ของประชากรโลมาในตอนนี้อยู่ในวัยที่แก่เกินกว่าจะขยายพันธุ์
ในช่วงปีที่ผ่านมา มีโลมาแม่น้ำโขงตายถึง 11 ตัว และเฉพาะในเดือน ธ.ค. พบโลมาวัยผสมพันธุ์สุขภาพดี 3 ตัว ติดอวนและแหตายภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ เหตุการณ์ที่ยิ่งทำให้นักอนุรักษ์วิตกกังวลมากขึ้น
“มันเป็นสัญญาณที่น่ากังวลอย่างยิ่ง” ผู้อำนวยการ WWF กัมพูชา กล่าวกับเอเอฟพี
“เราต้องดำเนินการอีกมากเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะอยู่รอดในแม่น้ำโขง” ผู้อำนวยการ WWF กัมพูชากล่าว และเรียกร้องให้รัฐบาลระดมทรัพยากรมากขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองโลมา
ในปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีฮุนเซนได้ออกกฎหมายใหม่กำหนดเขตคุ้มครองที่ห้ามจับปลา ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกจำคุกสูงสุด 1 ปี จากการใช้อวนจับปลา และจำคุกสูงสุด 5 ปี จากการจับปลาด้วยไฟฟ้าในพื้นที่อนุรักษ์
ในพื้นที่อนุรักษ์แห่งหนึ่งรอบหมู่บ้าน Kampi มีผู้ตรวจตรา 24 คน ออกลาดตระเวนไปตามแม่น้ำครอบคลุมพื้นที่ขนาด 22 ตารางกิโลเมตร ตลอด 24 ชั่วโมง
“ถ้าพวกเขาวางอวนในเขตอนุรักษ์ เราจะจับกุมพวกเขา ถ้าพวกเขาใช้วิธีช็อตไฟฟ้า พวกเขาจะถูกจับตัวส่งศาล ไม่มีความปรานีใดๆ ทั้งสิ้น” พลล็อก กล่าว
จนถึงตอนนี้ แรงผลักดันที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนจะได้ผล ไม่มีโลมาตาย และเริ่มมีแสงแห่งความหวัง
“เราได้รับข่าวจากผู้ให้บริการเรือท่องเที่ยวว่ามีลูกโลมาเกิดใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน” พลล็อก กล่าว
ชาวบ้านหลายคนที่เลี้ยงชีพด้วยการพานักท่องเที่ยวไปดูโลมา หรือขายของที่ระลึกยังแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับอนาคตของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านี้เช่นกัน
“ถ้าโลมาหายไป เราก็จบสิ้นเพราะรายได้ของเรามาจากโลมา เมื่อก่อนนี้มีโลมาเยอะมาก แต่ตอนนี้พวกมันเริ่มหายไปแล้ว ฉันรู้สึกกังวลมาก” มาส แมรี อายุ 53 ปี ที่มีรายได้วันละ 15 ดอลลาร์จากการล่องเรือ กล่าว.