xs
xsm
sm
md
lg

"พาต้า" ไม่ทน! ล่าตัวคนพ่นสีใส่ผนัง ร้องปล่อยตัวลิงกอริลลา "บัวน้อย" โดยตั้งรางวัลนำจับ 1 แสน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เพจ "สวนสัตว์พาต้า" โพสต์คำแถลงการณ์ กรณีการประกาศเรื่องต่อสู้และดำเนินคดีความกับผู้ต่อต้านและบุกรุก พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท เพื่อตามล่ากลุ่มคนทำลายทรัพย์สิน ร้องปล่อยตัวลิงกอริลลา "บัวน้อย" โดยเขียนว่า “Free Buanoi” และอักษรภาษาอื่น ๆ เป็นทางยาวกว่า 20 เมตร

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. เพจ "สวนสัตว์พาต้า" ได้ออกมาโพสต์คำแถลงการณ์ กรณีการประกาศเรื่องต่อสู้และดำเนินคดีความกับผู้ต่อต้านและบุกรุก พร้อมตั้งรางวัลนำจับ 1 แสนบาท เพื่อตามล่ากลุ่มคนทำลายทรัพย์สิน ร้องปล่อยตัวลิงกอริลลา "บัวน้อย" โดยทางเพจระบุข้อความว่า "เมื่อเวลาประมาณตี 1 ของเช้าวันที่ 6 มีนาคม 2566 ได้มีกลุ่มผู้กระทำความผิด จำนวน 5 คน บุกรุกพื้นที่ของห้างสรรพสินค้าพาต้า โดยใช้การปีนสะพานลอยผ่านเข้ามายังขอบอาคารชั้น 3 ด้านหน้าห้าง ฯ และ ทำลายทรัพย์สินของบริษัทด้วยการพ่นสีใส่ผนังอาคาร เป็นข้อความในเชิงต่อต้านการครอบครองลิงกอริลลาของสวนสัตว์พาต้า โดยเขียนว่า “Free Buanoi” และอักษรภาษาอื่น ๆ เป็นทางยาวกว่า 20 เมตร

ซึ่งทำให้ตัวอาคารได้รับความเสียหาย และก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นอย่างมาก ทั้งที่การประกอบกิจการของสวนสัตว์พาต้านั้น อยู่ในความดูแลของหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องและผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเหตุการณ์การต่อต้านเรื่องการครอบครองลิงกอริลลาของห้างฯ พาต้านั้น มีมานานกว่า 20 ปี และเพิ่งจะได้รับความเข้าใจจากประชาชนโดยส่วนใหญ่เมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา จากแถลงการณ์ครั้งแรกของบริษัทฯ ถึงเหตุผลต่าง ๆ และที่มาที่ไปของบัวน้อย ลิงกอริลลา เพศเมีย วัยชรา ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีตลอดมา ที่แม้ทางบริษัทจะประสบภาวะขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง แต่ทางผู้บริหารก็ยังไม่เคยทอดทิ้ง หรือ ตั้งราคาบัวน้อยในราคา 30 ล้าน ตามที่เป็นข่าว

ล่าสุดทางฝ่ายบริหารของทั้งห้างและสวนสัตว์พาต้า ได้เคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะขอนำเรื่องการบุกรุกและทำลายทรัพย์สินของบริษัทในครั้งนี้ เป็นกรณีตัวอย่างของการละเมิดสิทธิ์ที่ผิดกฎหมาย ที่บุคคล กลุ่ม หรือองค์กรพิทักษ์สัตว์มากมาย ทั้งในและต่างประเทศได้กระทำกันมาช้านาน

ทั้งการโพสต์โซเชียลมีเดียถึงการวิจารณ์ไปในทางหมิ่นประมาทและทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงต่อสวนสัตว์พาต้า, การรวมตัวกันเรียกร้องให้ปิดสวนสัตว์และปล่อยตัวบัวน้อย ด้วยการใช้ภาพถ่ายเน้นลูกกรงให้ดูเศร้า รวมถึงการปรับเล่นกับโทนสีของภาพให้ดูหม่นหมอง เพื่อการเรียกร้อง และนำภาพบัวน้อยไปใช้กันอย่างแพร่หลาย จนนำไปสู่การขอรับบริจาคในโครงการของตนเองหลายต่อหลายครั้ง โดยไม่มีการแจ้งถึงยอดเงินดังกล่าวอย่างเป็นทางการว่าได้นำเงินนั้นไปใช้ในทิศทางใด

และสวนสัตว์พาต้า ขอใช้โอกาสและพื้นที่ตรงนี้เพื่อแจ้งว่า “สวนสัตว์พาต้า ไม่เคยรับทราบถึงที่มาที่ไปของเงินบริจาคดังกล่าว ทั้งในและต่างประเทศ ที่มีการเรี่ยไรกระทำการกันอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี”

รวมไปถึงนักอนุรักษ์สัตว์บางรายที่เคยฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ต่อต้านสวนสัตว์พาต้า โดยกระทำการอบรมให้ข้อมูลแก่เยาวชนถึงในสถานศึกษา เพื่อใช้เด็กและเยาวชนเป็นแรงสนับสนุน มุ่งไปที่การ “ปล่อยตัวบัวน้อย” ให้เด็ก ๆ ซึมซับว่าบัวน้อยได้รับความทุกข์ทรมาน โดยที่เด็กและเยาวชนเหล่านั้น อาจไม่รู้ และไม่เคยมาเที่ยวสวนสัตว์พาต้าเลยสักครั้งในชีวิต ซึ่งถือเป็นการมอมเมาเด็กและเยาวชนจากหลักฐานที่ผู้ต่อต้าน ชี้แนะให้เด็ก ๆ จำนวนมาก เห็นสิ่งที่สวนสัตว์พาต้า กระทำตลอดมา ว่าเป็นความผิด ทั้งที่การประกอบกิจการทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้กฎหมาย

ตลอดจนให้เด็ก ๆ เหล่านั้นเขียนข้อความ ลงลายมือชื่อ และนามสกุล เพื่อต่อต้านสวนสัตว์พาต้า ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์เหล่านี้ มีผู้ปกครองมากมายไม่ทราบเรื่องราวว่า บุตรหลานของท่านได้ถูกบุคคลนักอนุรักษ์สัตว์ผู้นี้ ชี้นำให้กระทำการต่อต้านในสิ่งที่ยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ด้วยวุฒิภาวะของตนเอง ทั้งยังให้เด็ก ๆ เหล่านั้น ลงลายมือชื่อ และนามสกุล รวมถึง มีข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัวบัวน้อยออกจาก “คุก !” ไว้เป็นเป็นหลักฐาน ด้วยการชี้นำของตน โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาในตัวของเด็กและเยาวชนเหล่านั้น ว่าจะสามารถนำไปสู่หลักฐานเพื่อใช้ในการต่อสู้ทางคดีความ ที่จะต้องมีรายชื่อเด็ก ๆ เหล่านั้นอยู่ในสำนวนคดี

ยังไม่นับรวมถึงพฤติกรรมของนักอนุรักษ์สัตว์รายนี้ ที่ได้โพสต์ข้อความว่าได้นำเรื่องราวและหนังสือบัวน้อยที่ตนเองได้สร้างขึ้นเพื่อจำหน่ายไปยังหลายประเทศ และตั้งใจส่งไปรษณีย์ไปเพื่อให้ถึงมือเจ้าชาย George องค์น้อย แห่งราชวงศ์อังกฤษ โดยมีข้อความบางตอนที่โพสต์ว่า “หากท่านทรงเดินทางมาเมืองไทย และทรงแวะเยี่ยมบัวน้อย ท่านคงจะทรงตกพระทัยมิใช่น้อย ที่คนไทยไม่สามารถดูแลมรดกโลกได้ดีไปกว่านี้”

ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สวนสัตว์พาต้า รวมถึงประเทศชาติ ถูกตัดสินความผิดจากความรู้สึกของบุคคลผู้นี้ โดยไม่ยึดในข้อกฎหมายเป็นหลัก และยังเพิ่มความกดดัน โดยการนำเรื่องราวของบัวน้อย ออกไปไกลให้ถึงราชวงศ์ของต่างประเทศอย่างมีนัยยะ ด้วยข้อความที่ดูถูกและดูแคลนศักยภาพ และหน่วยงานผู้ดูแลกิจการ จนถึงผู้ประกอบการสวนสัตว์ของไทยอย่างเป็นหลักเป็นฐาน

ซึ่งเหตุการณ์ต่อต้านเรียกร้องมากมายที่เกิดขึ้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในประเทศที่มีกฎหมายและหน่วยงานของการควบคุมการทารุณกรรมสัตว์ ดังเช่นในประเทศไทย และสวนสัตว์พาต้า ขออนุญาตและขออภัยหากข้อความต่อไปนี้ จะถือเป็นการสอนท่านผู้อนุรักษ์สัตว์รายนี้ ว่า “นักอนุรักษ์ที่มีมาตรฐานสูงทั่วโลก จะเริ่มจากพื้นฐานแห่งจิตสำนึกด้วยการไม่ต่อต้านสิ่งที่ถูกกฎหมายบนพื้นแผ่นดินในประเทศของตน

นักอนุรักษ์สัตว์ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไร้ซึ่งนัยยะเคลือบแคลง มักจะมุ่งทำประโยชน์ให้กับชีวิตสัตว์ที่น่าสงสารอีกมากมายอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เลือกแม้ตัวตน เพศ ชนิด สายพันธุ์ หรือราคาของสัตว์ตัวนั้น ๆ จนนำไปสู่โอกาสของการสร้างชื่อเสียง รายได้ และการออกสื่อ หรือเข้าถึงบุคคลผู้ทรงเกียรติที่เกี่ยวข้อง เพื่อหน้าตาทางสังคมของตนเป็นนิจ

นักอนุรักษ์ที่อุทิศตนเพื่อสัตว์โลกที่แท้จริง มักใช้ช่วงชีวิตของตนที่มีอย่างจำกัด ทำประโยชน์ให้กับสัตว์ผู้ยากไร้รอบตัว ได้เกินกว่าร้อยพันชีวิต ที่ยังรอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา ซึ่งจะได้ประโยชน์กว่า การมุ่งกระทำการต่อต้านสัตว์ล้ำค่าที่มีชื่อเสียงระดับดาวเด่นของประเทศ ทั้งยังสมบูรณ์แข็งแรง และอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างโปร่งใส จนปล่อยให้เวลาแห่งการอนุรักษ์ช่วยเหลือสัตว์ของตนเองผ่านไปอย่างไม่ประสบความสำเร็จ กับการต่อต้านสัตว์ที่ถูกกฎหมายเพียงตัวเดียว เป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี”

ซึ่งทางสวนสัตว์พาต้า ใคร่ขอโอกาสชี้แจงว่า มาตรฐานของหน่วยงานพิทักษ์สัตว์บนมาตรฐานโลก มักถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ของการเชื่อมโยงดูแลให้ครอบคลุมถึงการทารุณกรรมสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งยากแก่การตรวจสอบ เช่น บ้านเรือน หรือ กิจการค้าสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันการลักลอบค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย รวมไปถึงการสอดส่องหน่วยงานเกี่ยวกับสัตว์ที่ปิดกั้นการเข้าถึงของประชาชน เช่น โรงงาน, อุตสาหกรรม จนขาดซึ่งผู้รับรู้ถึงสวัสดิภาพของสัตว์เหล่านั้น

ซึ่งประเด็นการต่อต้านที่เกิดขึ้นในประเทศไทยกรณีของบัวน้อยนี้ แทบจะไม่มีที่ใด ประเทศใดในโลก ที่มีประวัติของการต่อต้านสัตว์ดาวเด่นในสวนสัตว์ประจำประเทศของตนเอง ทั้งที่กิจการสวนสัตว์ยังคงดำเนินการโดยผ่านการตรวจสอบ และคงสภาพความสะอาด รวมทั้งการเก็บค่าเข้าชมราคาถูก ซึ่งไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผลกำไรแต่อย่างใด

และในส่วนนี้ทางสวนสัตว์ ฯ เชื่อมั่นว่า สวนสัตว์พาต้าเป็นสวนสัตว์เพียงแห่งเดียวที่จัดให้มีการเข้าชมลิงกอริลลา และเก็บค่าเข้าชมในราคาถูกที่สุดในโลก คือ ราคาบัตร เด็ก 50 บาท และ ผู้ใหญ่ 80 บาท ซึ่งรวมราคาค่าบัตรเช้าชม 1 ครอบครัวต่อ พ่อ แม่ และลูก 1 คน เพียง 210 บาท หรือประมาณ 6 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสามารถซื้อได้เพียงแฮมเบอร์เกอร์ 1 ชิ้นในต่างแดน

และหากการต่อต้าน ทำไปเพื่อให้ “ปล่อยตัว” นั่นย่อมหมายความว่า สัตว์ตัวนั้น ๆ ถูกทารุณกรรมอย่างแน่ชัด ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับสัตว์ในสวนสัตว์ ที่ยังคงให้ผู้เข้าชมได้ทราบความเคลื่อนไหวได้ตลอดเวลา เช่น ในสวนสัตว์พาต้า โดยเฉพาะชนิดสัตว์ล้ำค่าดังเช่น ลิงกอริลลาเพศเมีย ซึ่งเป็นสัตว์อันดับ 1 ที่สวนสัตว์ทั่วโลก ต่างแสวงหาเพื่อต้องการมีไว้ในครอบครอง และยาก ที่ประเทศแถบเอเชียจะได้ครอบครอง หากไม่มีศักยภาพในการลงทุน เลี้ยงดู และเข้าถึงองค์ความรู้ด้านลิงกอริลลามากพอ

“ทั้งที่ประเทศไทยนั้น มีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ภายใต้กฎหมายแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง ด้วยการใช้ระเบียบการและกฎหมายกับการเข้าตรวจสอบภายในกิจการสวนสัตว์ ตามสิทธิของการตรวจตราได้ทุกซอกมุม

โดยไม่ต้องพึ่งพาวิจารณญาณขององค์กรจากต่างประเทศ ที่ใช้ตัวแทนคนไทย โดยมีบัวน้อยเป็นตัวนำสื่อ เพื่อตีแผ่เรื่องราวกดดันไปทั่วโลก ทั้งที่องค์กรนั้น ๆ ไม่เคยแม้แต่เดินทางมาเพื่อทำการวิจัยอย่างเป็นกิจจะลักษณะในสถานที่จริง เหมือนดังเช่นกรมอุทยาน ฯ ที่มีสิทธิ์เข้าถึงการตรวจสอบอย่างโปร่งใส ภายใต้มาตรฐานและกฎหมายของประเทศไทย ที่ทุกฝ่ายต่างให้ความเคารพ บนพื้นฐานเดียวกัน”

ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ ทางผู้บริหารของทั้งห้างและสวนสัตว์พาต้า ได้นำมาวิเคราะห์กันอย่างต่อเนื่องถึงความเคลือบแคลงสงสัยในการดำเนินการของหน่วยงานมากมายที่เชื่อมโยงไปยังองค์กรต่างประเทศ จนถึงขนาดกดดันไม่ให้หลายธุรกิจแบรนด์หลักในประเทศของตน ลงนามทำสัญญาทางธุรกิจกับห้าง ฯ พาต้ามาตลอดเวลาหลายปี อย่างมีนัยยะ

เนื่องจากประเด็นหนึ่งคือบัวน้อย ถือเป็นลิงกอริลลา เพียงหนึ่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการกระทำการต่อต้านต่าง ๆ ที่ผ่านมา ของ “ตัวแทนในประเทศไทย” รวมถึงกลุ่ม “ศิลปิน ดารา” บางราย ที่ได้ปลุกปั่นสร้างให้เกิดกระแสการต่อต้านสวนสัตว์พาต้ามาโดยตลอด และมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยที่ไม่มีใครทราบได้ว่า วัตถุประสงค์ที่แท้จริงขององค์กรจากต่างประเทศนั้น ๆ ต้องการสวัสดิภาพที่ดีของบัวน้อย หรือต้องการ “ครอบครอง บัวน้อย !” ด้วยกลยุทธ์การใช้วิธีการ ของ “คนไทย ต่อต้าน คนไทย” และรับบริจาคระหว่างทางจากผู้คนทั่วโลกจนกว่าเป้าหมายอันล้ำค่า จะไปอยู่ในความครอบครองของประเทศตน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมายกับสวนสัตว์พาต้าตลอดมา วันนี้ทางสวนสัตว์ ฯ จึงประกาศตัว เพื่อตอบโต้ความไม่เป็นธรรมทุกรูปแบบ โดยเริ่มจากการตามล่าหาตัวกลุ่มคนผู้กระทำผิด ทั้ง 5 คน ที่ทำการบุกรุกทำลายทรัพย์สินของห้าง ฯ พาต้า ปิ่นเกล้า เพื่อมาลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งทางฝ่ายกฎหมายของบริษัท ฯ ได้นำรูปพรรณของกลุ่มคนดังกล่าวที่เก็บหลักฐานได้จากกล้อง CCTV ไปแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อีกทั้งยังได้มีการจัดตั้งแผนกพิเศษเฉพาะกิจ เพื่อรวบรวมหาเบาะแสของเรื่องราวทั้งหมด โดยเริ่มจากการนำรายชื่อของผู้ที่เคยแสดงตัวต่อต้าน โจมตีสวนสัตว์พาต้า ไปยื่นส่งให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรายชื่อนั้นมีตั้งแต่ ผู้ที่โพสต์ด่าทอให้เกิดความเสียหาย ไปจนถึงกลุ่มหรือบุคคลนักอนุรักษ์ทั้งที่มีและไม่มีหน่วยงานรองรับ, ดารานักแสดงบางคน บางกลุ่ม ที่ออกมาต่อต้านปราศรัยโดยไม่เกรงกลัวการใช้คำพูดที่ละเมิดสิทธิและผิดกฎหมาย รวมไปถึงผู้ที่เรียกตนเองว่า เซเลบริตี้ หรือบุคคลระดับไฮโซ ที่เคยใช้วิธีการต่อต้านอย่างผิดหลักการมาโดยตลอด เพียงเพราะไม่ได้รับการตักเตือน ตอบโต้ บนรากฐานของกฎหมายแห่งความยุติธรรม

ทั้งนี้ ทางผู้บริหารยังมีมติว่า จะไม่ลบข้อความที่ถูกกลุ่มคนดังกล่าวขีดเขียนให้เกิดความเสียหายออกจากหน้าตัวอาคารจนกว่าจะสามารถจับกุมกลุ่มผู้กระทำผิด หรือ จนกว่าจะถึงเวลาบูรณะซ่อมแซมอาคารของห้าง ฯ ที่เพิ่งจะมีกำหนดการของการปรับปรุงอาคารตามที่แจ้งไว้ในข่าวสารออนไลน์ เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา

และสุดท้ายทางสวนสัตว์พาต้าขอแจ้งให้ทราบว่า แถลงการณ์นี้ ไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการเตือน แต่จัดทำขึ้นเพื่อประกาศถึงนโยบายการต่อสู้และดำเนินคดีทางกฎหมาย ที่สวนสัตว์พาต้าได้ประกาศเริ่มต้นขึ้นกับทุกหลักฐานของทุกท่านผู้กระทำการจนก่อให้เกิดความเสียหาย ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชัง และมีผลเสียต่อภาพลักษณ์และภาคธุรกิจของทางบริษัท ฯ มาช้านาน ด้วยผู้บริหารชุดปัจจุบันของห้างสรรพสินค้าและสวนสัตว์พาต้าที่ถูกแต่งตั้งเข้ามาเพื่อทำหน้าที่ขจัดเรื่องราวไม่ยุติธรรมเหล่านี้โดยเฉพาะ

และขอแจ้งให้ทุกท่านที่เข้าข่ายกระทำผิด ทราบไว้ว่า การดำเนินคดีความและความยุติธรรมจะเกิดขึ้นโดยเร็วมากพอกับการรื้อฟื้นสวนสัตว์พาต้า ที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา เราพร้อมต่อสู้บนรากฐานแห่งความถูกต้อง และเชื่อมั่นเคารพในระบบความยุติธรรม รวมถึงหน่วยงานผู้ดูแลกฎหมายสวนสัตว์ในประเทศไทย

การต่อสู้ทางคดีความจะเริ่มขึ้นและดำเนินต่อไป โดยมีสวัสดิภาพทางออกที่ดีที่สุดที่แท้จริงให้กับบัวน้อยเป็นสำคัญ เพื่อกู้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของคำว่า “สวนสัตว์พาต้า และ พาต้า ปิ่นเกล้า” รวมถึงระบบขององค์กรดูแลสวัสดิภาพสัตว์ในประเทศไทย ที่ถูกกลุ่มคนหลายฝ่าย นำเรื่องราวและจินตนาการที่ตนเองร่วมกันสร้างขึ้น สร้างแง่ลบให้กับภาพลักษณ์ของหน่วยงานและกฎหมายพิทักษ์สัตว์ของประเทศไทย โดยใช้โอกาสของการไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี กระทำการโจมตีเพียงฝ่ายเดียวมาเป็นเวลานาน

“ทางสวนสัตว์ฯ ได้ตั้งเงินรางวัลนำจับ จำนวน 100,000 บาท สำหรับทั้งประชาชน หรือบุคคลใด ที่ให้เบาะแสจนนำพาไปสู่การจับกุม กลุ่มคนผู้บุกรุกและทำลายทรัพย์สินของทางบริษัทฯ ตลอดจนผู้บงการในเรื่องนี้ (หากมี) เพื่อให้กรณีที่เกิดขึ้นนี้ เกิดความยุติธรรมกับทางสวนสัตว์ ฯ โดยเร็ว” ซึ่งท่านผู้มีเบาะแส สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 095-062-1515 (ผู้จัดการทั่วไป) และ 094-957-2883 (ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์)

ขอบพระคุณทุกท่านผู้ที่เข้าใจ ในความหมายของ “สัตว์เลี้ยง สัตว์ปศุสัตว์ สัตว์เศรษฐกิจ และสัตว์ในสวนสัตว์ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีรากฐานมาจาก ความเป็นสัตว์ป่า” ขอบพระคุณผู้อนุรักษ์สัตว์ด้วยจิตวิญญาณแห่งการเสียสละที่แท้จริง ที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือชีวิตสัตว์ยากไร้ โดยไม่เลือกตัวตน เพศ ชนิด ราคาและสายพันธุ์ ให้ต้องเกิดความเคลือบแคลง แอบแฝง เพราะ “ลิงกอริลลา คือ สัตว์ล้ำค่าที่สุดอันดับ 1 ที่สวนสัตว์ทั่วโลก ต่างต้องการมีไว้ในครอบครอง และจากสถิติ ยังไม่เคยมีประเทศใดในโลก ที่ผู้คนในประเทศ จะโจมตีการครอบครองลิงกอริลลา ในประเทศของตนเอง ยกเว้นประเทศไทย”




กำลังโหลดความคิดเห็น