“เจ้ายอดศึก” ปัดขอนัดพบตัวแทนกลุ่มผู้ประท้วง รบ.ทหารพม่า

MGR Online - “เจ้ายอดศึก” ยืนยันสภากอบกู้รัฐชานไม่ได้ขอนัดพบคณะกรรมาธิการตัวแทนรัฐสภาพม่า (CRPH) ที่เป็นตัวแทนสมาชิก NLD ชี้จดหมายที่ถูกเผยแพร่อาจถูกทำปลอม หรือเป็นเรื่องส่วนตัว เผยเรื่องสำคัญระดับนี้ต้องทำในนามคณะทำงานสันติภาพที่เตรียมจะนัดประชุมกันอีกครั้งในเร็วๆ นี้

บ่ายวานนี้ (6 มี.ค.) ดร.ส่า ส่า ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตพิเศษของ “คณะกรรมาธิการตัวแทนรัฐสภาพม่า” (Committee Reptrsenting Pyidaungsu Hluttaw : CRPH) ประจำสหประชาชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า ผู้นำของสภาเพื่อการกอบกู้รัฐชาน (RCSS) ได้ขอนัดพบกับ CRPH ในเร็วๆ นี้

ในโพสต์ของ ดร.ส่า ส่า ได้ลงภาพจดหมายซึ่งลงนามโดยเจ้ายอดเมือง (Philip) ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการต่างประเทศ RCSS ซึ่งประจำอยู่ในกรุงย่างกุ้ง จดหมายฉบับนี้ส่งมาถึง ดร.ส่า ส่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม มีใจความว่า ในนามของ RCSS ต้องการนัดพบกับ ดร.ส่า ส่า เพื่อหารือถึงสถานการณ์บ้านเมืองและแนวทางที่จะทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต


โพสต์นี้ได้สร้างความยินดีแก่ผู้ที่กำลังเคลื่อนไหวประท้วงการรัฐประหารอยู่ในพม่า และอีกหลายประเทศทั่วโลก เพราะ RCSS เป็นองค์กรตัวแทนชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของพม่า รองจากชาติพันธุ์พม่า

นอกจากนี้ พล.อ.เจ้ายอดศึก ประธาน RCSS ยังมีตำแหน่งเป็นรักษาการประธานคณะทำงานกระบวนการสันติภาพ (Peace Process Steering Team : PPST) ซึ่งประกอบด้วยผู้นำกองกำลังติดอาวุธ 10 กลุ่ม ที่ได้เซ็นสัญญาหยุดยิงทั่วประเทศ (NCA) กับรัฐบาลพม่าไปแล้วอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม หลัง ดร.ส่า ส่า ได้โพสต์เรื่องการนัดพบกับ RCSS ออกไปได้ไม่นาน ในตอนค่ำ สำนักข่าว Shan News ได้เสนอข่าวโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของผู้ใกล้ชิด พล.อ.เจ้ายอดศึก ระบุว่า พล.อ.เจ้ายอดศึกไม่ได้เป็นผู้สั่งการให้ฝ่ายกิจการต่างประเทศออกจดหมายฉบับที่ ดร.ส่า ส่า นำมาโพสต์ไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัว และตัวของ พล.อ.เจ้ายอดศึกเอง ก็ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องของจดหมายฉบับนี้


แหล่งข่าวของ Shan News ระบุข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับจดหมายฉบับนี้ว่า ถ้าไม่ใช่ถูกทำปลอมขึ้นมา ก็เป็นการออกโดยส่วนตัวของเจ้ายอดเมืองเอง ซึ่งใน RCSS จะต้องมีการสอบสวนหาที่มาของจดหมายฉบับนี้ต่อไป เขาบอกว่า พล.อ.เจ้ายอดศึก ตระหนักดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ RCSS จะตัดสินใจไปเองฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องมีการหารือในกลุ่ม PPST ร่วมกันก่อน

หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ PPST เพิ่งมีการประชุมกันไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ระหว่างวันที่ 19-20 กุมภาพันธ์ และได้ออกแถลงการณ์ 5 ข้อ มีใจความสำคัญในการสนับสนุนความเคลื่อนไหวของประชาชน ที่ออกมาประท้วงอย่างสันติในการต่อต้านระบอบเผด็จการ และการเข้ามายึดอำนาจของกองทัพพม่า โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวตามแนวทางอารยะขัดขืน (Civil Disobedence Movement : CDM) และนอกจากแถลงการณ์ฉบับนี้แล้ว PPST ยังไม่เคยออกจดหมายหรือเอกสารใดๆ มาอีก


อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ จะมีการนัดประชุม PPST อีกครั้ง เพื่อหารือถึงสถานการณ์ และท่าทีของ PPST ที่จะมีต่อ CRPH

อนึ่ง CRPH ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ มีสมาชิก 380 คน ทั้งหมดเป็นสมาชิกพรรค NLD ที่ชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่แล้ว และถูกรับรองโดยคณะกรรมการเลือกตั้งชุดก่อน ทั้งหมดได้รวมตัวกันสถาปนา CRPH ขึ้น เป็นตัวแทนของรัฐบาลและรัฐสภาพม่าในการติดต่อสัมพันธ์กับประชาคมโลก แทนที่สภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) ที่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร

ก่อนหน้านี้ ดร.ส่า ส่า ในฐานะตัวแทนอย่างเป็นทางการของ CRPH ได้เผยแพร่ภาพผ่านทางเฟซบุ๊ก แสดงให้เห็นการติดต่อหรือมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรนานาชาติหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายกลุ่มในพม่า เช่น ได้โพสต์ภาพการประชุมออนไลน์กับปะโด ส่อ กวย ถู่ วิน รองประธานสภาแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และปะโด ส่อ ทา โด มู ผู้ช่วยของรองประธาน KNU เมื่อค่ำวันที่ 5 มีนาคม


เมื่อคืนนี้ (6 มี.ค.) หลังการโพสต์จดหมายขอนัดพบกันที่ออกโดยฝ่ายกิจการต่างประเทศ RCSS แล้ว ดร.ส่า ส่า ก็ได้โพสต์ภาพการประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้นำกลุ่มต่างๆ ของรัฐชิน

อย่างไรก็ตาม ในตอนเช้าวันนี้ เมื่อได้เข้าไปตรวจสอบเฟซบุ๊กของ ดร.ส่า ส่า อีกครั้ง พบว่าโพสต์ที่เขียนถึงการนัดพบกับ RCSS ได้มีการลบภาพจดหมายที่ออกโดยฝ่ายกิจการต่างประเทศออกไปแล้ว ยังคงเหลือไว้เพียงใจความที่ระบุเพียงว่ากำลังจะมีการนัดพบกันกับตัวแทน RCSS ในเร็วๆ นี้

ด้านกองทัพพม่า ได้ออกมาระบุหลายครั้งแล้วว่า หลังการรัฐประหาร ได้มีการระงับผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนไปแล้วทั้งหมด เพื่อตรวจสอบการทุจริตและเตรียมจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ดังนั้น บุคคลที่ได้รวมตัวกันในนาม CRPH และอ้างว่าเป็นตัวแทนของรัฐสภาพม่า จึงถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น หากองค์กรใดหรือผู้ใดที่ให้ความร่วมมือกับ CRPH ย่อมต้องมีความผิด และต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไปด้วย.