MGR Online - ฝ่ายปกครองเขตโกก้าง รัฐฉานเหนือ โวยเจ้าหน้าที่จีนอ้างเหตุป้องกันโควิด-19 จู่ๆ เอาลวดหนามมากั้นเป็นรั้วล้ำพื้นที่เข้ามาถึงแนวเสาหินหลักเขตแดน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลง 2 ประเทศ
พรมแดนพม่า-จีน ฟากรัฐชาน แม้มีข้อตกลงแบ่งพื้นที่ ปักเสาปันเขตกันอย่างชัดเจนแล้ว แต่ฝั่งจีนมักมีลูกเล่นล้ำแดนหวังกินพื้นที่เพิ่ม ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ
ล่าสุด ฝ่ายปกครองท้องถิ่น เขตปกครองตนเองชนชาติไตและว้า กึ่งม้า ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเมืองเล่าก์ก่าย ได้สร้างแนวรั้วลวดหนามกั้นเขตแดน โดยอ้างเหตุผลเพื่อป้องกันไม่ให้มีการลักลอบข้ามแดนจากเล่าก์ก่ายเข้าไปหางานทำในพื้นที่กึ่งม้า ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19
เล่าก์ก่าย เป็นเมืองเอกของเขตปกครองตนเองชนชาติโกก้างในภาคเหนือของรัฐชาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า ส่วนกึ่งม้าเป็นเขตปกครองชนชาติไตและว้า ในจังหวัดหลินซาง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน (ดูแผนที่ประกอบ)
อย่างไรก็ตาม แนวรั้วลวดหนามที่ฝั่งกึ่งม้าสร้างขึ้นนั้น ได้กินพื้นที่เข้ามาเท่ากับแนวหลักเสาหินหมายเลข BP-125 ซึ่งใช้เป็นหมุดหมายเพื่อแบ่งเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงที่จีนกับพม่าเคยทำร่วมกันว่าภายในรัศมี 10 เมตร จากแนวหลักเสาหินของทั้ง 2 ฝั่ง ห้ามมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสร้างรั้ว หรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ขึ้น
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ฝ่ายปกครองเมืองเล่าก์ก่าย ได้ทำหนังสือประท้วงไปถึงฝ่ายปกครองเขตปกครองตนเองกึ่งม้า จากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้ส่งตัวแทนลงมาเจรจากัน ณ จุดที่ตั้งหลักเสาหิน BP-125 ผลการเจรจา ฝ่ายกึ่งม้ายอมรื้อรั้วลวดหนามและถอยร่นไปสร้างใหม่ในแนวที่ห่างจากหลักเสาหินไป 10 เมตร
แนวชายแดนระหว่างโกก้างและกึ่งม้า ยาว 26 ไมล์ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ก็เกิดกรณีที่ฝั่งจีนได้สร้างแนวรั้วลวดหนามกินพื้นที่รุกเข้ามาชนกับแนวหลักเสาหินหมายเลข 66/1 กับหมายเลข 68 และแนวหลักเสาหินหมายเลข 73 กับ 73/1 มาแล้วครั้งหนึ่ง ทางการรัฐชานต้องทำหนังสือประท้วงไปยังฝั่งจีน จนต้องถอยร่นแนวรั้วลวดหนามกลับไป 10 เมตร
การรุกล้ำดินแดนจากฝั่งจีนเข้ามาในพื้นที่รัฐชาน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง ในปี 2557 เคยมีกรณีชาวเมืองรุ่ยลี่ เขตปกครองตนเองชนชาติไตและจิ่งพัว เต๋อหง ขุดดินรุกล้ำเข้ามาในเขตบ้านกุงส่า อำเภอน้ำคำ จังหวัดหมู่เจ้ ที่อยู่เหนือขึ้นไปจากเขตโกก้าง
ต้นปีที่แล้ว (2562) ในเมืองหมู่เจ้กับป่างซาย อำเภอหมู่เจ้ ก็มีกรณีการรุกล้ำดินแดนจากฝั่งจีนเข้ามาแบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2557
วันที่ 9 ตุลาคม 2562 มีชาวรุ่ยลี่ 4 คน สวมเครื่องแต่งกายแบบไทใหญ่ ได้ขุดดินเป็นร่องยาวจากฝั่งรุ่ยลี่ ล้ำเข้าไปในเขตบ้านหนองคำ อำเภอน้ำคำ ลึกถึง 60 ฟุต นายอำเภอเมืองน้ำคำได้ประท้วงไปยังฝ่ายปกครองเมืองรุ่ยลี่ ให้หยุดการกระทำที่เป็นรุกล้ำดินแดนโดยทันที
นับจากเกิดโควิด-19 ระบาดในพม่า ทางการจีนได้สั่งปิดพรมแดนระหว่างจีนกับรัฐชาน ห้ามมิให้มีการเดินทางข้ามแดนระหว่างกันตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบัน ส่วนการขนส่งสินค้าที่ 2 ประเทศซื้อขายกัน ให้ไปทำที่ศูนย์ขนถ่ายสินค้า หลักไมล์ที่ 105 อำเภอหมู่เจ้ และช่องทางขนส่งสินค้าชิงส่วยเหอ ในเขตโกก้างเท่านั้น
แต่ปรากฏว่า ยังมีคนจากฝั่งรัฐชานที่แอบข้ามแดนเพื่อไปหางานทำในฝั่งจีนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเขตเมืองรุ่ยลี่ และกึ่งม้า จนเมื่อเดือนกันยายน เกิดกรณีที่แรงงานจากรัฐชานที่แอบเข้าไปทำงานอยู่ในรุ่ยลี่ 2 ราย ป่วยเป็นโควิด-19 ทำให้ทางการจีนต้องสั่งล็อกดาวน์เมืองรุ่ยลี่ 7 วัน เพื่อตรวจผู้คนจำนวนนับแสนคน
จากนั้นทางการจีนได้สั่งคุมเข้ม มีการนำรั้วลวดหนามมาขึงตลอดแนวชายแดน รวมถึงจัดกำลังทหารมาประจำการตามจุดต่างๆ ที่คาดว่าจะมีการลักลอบข้ามแดน ทั้งในเขตหมู่เจ้ และโกก้าง เพื่อไม่ให้มีการลักลอบข้ามไปทำงาน จนเกิดกรณีการสร้างรั้วลวดหนามรุกเกินแนวที่ 2 ประเทศเคยตกลงกันไว้ในครั้งนี้.