เอเอฟพี - การสู้รบในรัฐกะฉิ่นระหว่างกองทัพกะฉิ่นอิสระ (KIA) และกองกำลังทหารพม่าตั้งแต่ต้นปีทวีความรุนแรงขึ้น จนทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเร่งหลบหนีออกจากที่อยู่อาศัยด้วยเสี่ยงภัยจากการสู้รบ
ชาวบ้านจำนวนมากต้องเดินทางผ่านป่ารกทึบ และข้ามแม่น้ำที่ลึกถึงระดับหน้าอก ขณะที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งซึ่งล้มป่วย เด็ก และคนชราได้อาศัยนั่งหลังช้างเดินทางไปยังพื้นที่ปลอดภัย
แต่ความรุนแรงระหว่างทหาร และกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้รับความสนใจจากหน้าสื่อระดับโลกมากเท่าเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ภาคตะวันตกของประเทศ ที่กองทัพขับไล่ชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 700,000 คน ตั้งแต่เดือน ส.ค. จนก่อให้เกิดการตำหนิประณามอย่างรุนแรงจากประชาคมโลก
เป็นเวลาถึง 3 วัน ที่ชาวบ้านจากหมู่บ้านอ่องลอ ต้องอาศัยหลบภัยอยู่ในทุ่งนาท่ามกลางเสียงปืนและเครื่องบินรบที่ขยับเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อลูกกระสุนเริ่มตกลงในบริเวณที่พักอาศัย หัวหน้าหมู่บ้านสั่งให้ลูกบ้านทั้งหมดอพยพไปยังค่ายผู้พลัดถิ่นภายในประเทศที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร
การเดินทางที่ต้องลัดเลาะผ่านป่า พร้อมทั้งคนป่วย เด็ก และคนชรา ทำให้ผู้อพยพเหล่านี้เดินทางคืบหน้าได้ช้า จนเดินทางมาถึงแนวแม่น้ำ ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้อาศัยช้างของชาวบ้านในพื้นที่พาข้ามฝั่งอย่างปลอดภัย
ภาพถ่ายที่น่าทึ่งเผยให้เห็นชาวกะฉิ่นนั่งอยู่บนหลังช้างพร้อมข้าวของจำนวนมากขณะข้ามแม่น้ำ
“เรามีผู้สูงอายุ คนป่วย และคนตาบอด เราขอให้ควาญช้างช่วยเหลือคนเหล่านั้น” ชาวบ้านคนหนึ่ง กล่าว
เวลานี้ชาวบ้านส่วนใหญ่พักอยู่ในค่ายพักชั่วคราว แต่พวกเขาไม่รู้ว่าต้องอาศัยอยู่ในค่ายอีกนานเท่าใดถึงจะสามารถเดินทางกลับบ้านได้ ด้วยการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อเนื่อง
สหประชาชาติ ระบุว่า มีประชาชนมากกว่า 100,000 คน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากความรุนแรงทั้งที่เกิดขึ้นในรัฐ และรอบรัฐกะฉิ่น.