เอพี - แกนนำชุมชนจากชุมชนชาวกะฉิ่นที่นับถือศาสนาคริสต์ ได้เรียกร้องการช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างเร่งด่วนให้แก่พลเรือนราว 2,000 คน ที่รวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ ที่ติดค้างอยู่ในป่าเนื่องจากหลบหนีการต่อสู้ระหว่างกองทัพพม่า และกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ
การต่อสู้ครั้งล่าสุดในเขตตะนาย ของรัฐกะฉิ่น พื้นที่ที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งเหมืองทอง และอำพัน เริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นเดือน เม.ย. จากการระดมยิงปืนใหญ่ และโจมตีทางอากาศของรัฐบาลเพื่อตอบโต้การคุกคามของกองทัพกะฉิ่นอิสระ (KIA) ในการชิงคืนพื้นที่ที่เสียไป
บาทหลวงมุง ดัน แกนนำชุมชนผู้นับถือศาสนาคริสต์ กล่าวว่า พลเรือนที่ติดค้างมีอาหาร และยาไม่เพียงพอ ซึ่งรวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ 1 คน และหญิงเพิ่งคลอดลูกอีก 2 คน ผู้สูงอายุที่มีอายุมากถึง 93 ปี และชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บจากการยิงปืนใหญ่ ผู้คนเหล่านี้ต้องการการรักษาพยาบาลและการปันส่วน
“แม้แต่ในวันนี้ยังมีฝนตกตลอดทั้งวัน พลเรือนเหล่านี้ไม่มีที่พัก และกำลังเผชิญต่อความเจ็บป่วยอีกด้วย” บาทหลวง กล่าว
เอ็นจีโอที่มีสำนักงานในรัฐกะฉิ่นได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงมุขมนตรีรัฐกะฉิ่นเมื่อวันพุธ (18) เพื่อขออนุญาตเข้าช่วยเหลือพลเรือนดังกล่าว
“เราได้ร้องขอการอนุญาตเข้าช่วยเหลือคนที่ติดค้างอยู่ในป่า ซึ่งพวกเขาอยู่ในภาวะวิกฤตมาก แต่มุขมนตรีกล่าวเพียงว่า หากทหารอนุญาตพวกเราถึงจะสามารถเข้าช่วยเหลือพลเรือนเหล่านั้นได้” หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสตรีรัฐกะฉิ่นที่ช่วยเหลือผู้หญิงพลัดถิ่น กล่าว
กลุ่มสิทธิมนุษยชนและช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ กล่าวว่า รัฐบาลพม่า และทหารเพิ่มข้อจำกัดต่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อผู้พลัดถิ่นราว 100,000 คน และรัฐบาลยังปฏิเสธการเข้าถึงพื้นที่กับสหประชาชาติ และกลุ่มช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศกลุ่มต่างๆ ทั้งหมด
“มีพลเรือนอย่างน้อย 3 คน เสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ของกองทัพ และการโจมตีทางอากาศใน 3 พื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.” นอ บู หัวหน้าสำนักงานข้อมูลขององค์กรกะฉิ่นอิสระ (KIO) กลุ่มการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์กะฉิ่น ระบุ
เช่นเดียวกับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ในประเทศ กองทัพกะฉิ่นอิสระ (KIA) ต่อสู้กับรัฐบาลกลางเพื่อเรียกร้องการปกครองตนเอง แต่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มติดอาวุธกะฉิ่น และทหารฝ่ายรัฐบาลปะทุรุนแรงขึ้นอีกครั้งในปี 2554 เมื่อข้อตกลงหยุดยิง 17 ปี ยุติลง การปะทะที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และอีกมากกว่า 100,000 คน ต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น.