เอเอฟพี - ประธานาธิบดีพม่า ได้อนุมัติร่างกฎหมายศาสนาที่ได้แรงบันดาลใจจากพระสงฆ์หัวรุนแรง และยื่นเรื่องเข้าสภาเพื่ออภิปราย ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่วานนี้ (3) ส่งผลให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนส่งเสียงเตือนถึงร่างกฎหมายที่มีลักษณะของการสร้างความแตกแยก
ร่างกฎหมายที่รวมทั้งการควบคุมการแต่งงานระหว่างศาสนา การเปลี่ยนศาสนา และอัตราการเกิด จะถูกนำขึ้นอภิปรายโดยสมาชิกรัฐสภา และลงมติในการประชุมรัฐสภาที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ ตามการระบุของผู้อำนวยการสำนักงานประธานาธิบดี
“ประธานาธิบดีร่างกฎหมายขึ้นแต่เป็นความรับผิดชอบของรัฐสภาที่จะออกบังคับใช้” ซอ เต กล่าว
อุดมการณ์ความเชื่อว่า เชื้อชาติของตนสำคัญที่สุดในการลุกฮือของชาวพุทธ และท่าทางของรัฐบาลที่ยอมรับอย่างเงียบๆ ได้จุดชนวนความวิตกหวาดกลัวว่า ศาสนาจะกลายเป็นการเมืองมากขึ้น ขณะที่ประเทศกำลังจะจัดการเลือกตั้งในปีหน้า
ร่างกฎหมายดังกล่าวริเริ่มเสนอขึ้นโดยกลุ่มพระสงฆ์ชาตินิยม ที่รู้จักในชื่อ มะบะธา หรือ คณะกรรมการเพื่อการคุ้มครองชาติและศาสนา ที่ถูกกล่าวหาว่า กระพือความรุนแรงในประเทศหลังเกิดเหตุความรุนแรงปะทุขึ้นหลายครั้งต่อชาวมุสลิมชนกลุ่มน้อย ซึ่งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยต่อร่างกฎหมายนี้ระบุว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติ
“ร่างกฎหมายเหล่านี้อ้างว่าเป็นการปกป้องคุ้มครองปกป้องผู้หญิง แต่แท้จริงแล้วเป็นการต่อต้านความต้องการของผู้หญิง” มะขิ่นเล ผู้ก่อตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนสนับสนุนกลุ่มสตรี กล่าว และระบุว่า ร่างกฎหมายเป็นการเลือกปฏิบัติ และการควบคุม
นักรณรงค์ที่เห็นพ้องต่อนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนสตรีคนอื่นๆ กล่าวว่า ข้อบังคับที่ระบุว่าต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่นั้นจะเป็นการสร้างโอกาสต่อการใช้อำนาจในทางที่ผิดในระบบรัฐที่เต็มไปด้วยการทุจริต
ร่างกฎหมายการแต่งงานที่ถูกเผยแพร่ลงในสื่อภาษาพม่าเมื่อวันพุธ (3) แสดงให้เห็นถึงกฎระเบียบต่างๆ ในการแต่งงานระหว่างหญิงชาวพุทธ กับชายที่นับถือศาสนาอื่น โดยคู่รักจะต้องยื่นเรื่องต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และพ่อแม่หากฝ่ายหญิงมีอายุต่ำกว่า 20 ปี และต้องแจ้งต่อสาธารณะในการประกาศการหมั้น หากไม่มีการคัดค้าน การแต่งงานก็จะจัดขึ้นได้ หากไม่ปฏิบัติตาม บุคคลดังกล่าวจะถูกจำคุก 2 ปี
ร่างกฎหมายศาสนายังระบุว่า ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนศาสนาจะต้องได้รับอนุญาตจากข้าราชการจำนวนหนึ่ง
คณะกรรมาธิการด้านเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ระบุว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่เหมาะสมที่จะเกิดขึ้นในยุคศตวรรษที่ 21 และเตือนว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดความรุนแรง และการเลือกปฏิบัติ.