ASTVผู้จัดการออนไลน์ - สำนักข่าวกลาโหมหลายแห่งได้เผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับระบบเรดาร์ที่ติดตั้งในภาคใต้ของไทยในภารกิจป้องกันประเทศ โดยเชื่อว่าข้อมูลที่ระบบเรดาร์ของไทยบันทึกเอาไว้จะช่วยไขความลี้ลับเกี่ยวกับเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777-200ER ลำที่สูญหายได้ เนื่องจากมีข่ายในการครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางที่สุด ละเอียดที่สุดในย่านนี้ และยังประสานกันเป็น “เสมือนตาสับปะรด” ยากที่วัตถุบินต่างๆ จะเล็ดลอดไปได้
เรดาร์ของไทยที่ติดตั้งใน 3 จุดทางตอนใต้ของประเทศย่อมสามารถบันทึกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเที่ยวบิน MH370 ที่สูญหายตั้งแต่ต้นจนกระทั่ง “ลับตา” ไป ซึ่งจะช่วยไขข้อข้องใจเกี่ยวกับทิศทางบินของโบอิ้งลำนี้ได้ และจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการค้นหา แต่ปัญหาก็คือ กองทัพไทยจะยินดีเปิดข้อมูลเรดาร์ที่กล่าวถึงนี้หรือไม่ เพราะว่าการเปิดเผยย่อมหมายถึงการเปิดตัวเอง และค่อนข้างจะเป็นอันตรายต่อการป้องกันในอนาคต
จนถึงวันอังคาร 18 มี.ค.นี้ นับเป็นเวลา 10 วันพอดี ตั้งแต่เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซียขาดการติดต่อกับสถานีควบคุมการสัญจรทางอากาศในตอนเช้าตรู่วันเสาร์ที่ 8 ขณะที่บินอยู่เหนือทะเลอ่าวไทยตอนล่าง ซึ่งไม่กี่วันมานี้ หลายฝ่ายได้วิจารณ์รัฐบาลมาเลเซียว่าปกปิดข้อเท็จจริง และให้ข้อมูลผิดๆ ซึ่งทำให้เสียเวลาค้นหาแบบหลงทิศหลงทางตลอดมา
อย่างไรก็ตาม หลายวันต่อมา ทางการมาเลเซียได้เปิดเผยข้อมูลจากเรดาร์ของฝ่ายทหารที่บ่งชี้ว่า โบอิ้ง 777 ที่บินขึ้นจากท่าอากาศยานกรุงกัวลาลัมเปอร์ พร้อมผู้โดยสารกับลูกเรือ 239 คน มุ่งสู่ท่าอากาศยานกรุงปักกิ่งของจีนนั้น ได้เปลี่ยนเส้นทางแบบหักข้อศอก บินข้ามแหลมมลายูไปยังบริเวณช่องแคบมะละกา ก่อนจะหักหัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดยังคงเป็นความลี้ลับ หรืออาจจะไม่มีข้อมูลอื่นใดนอกจากนี้ก็เป็นได้
เจ้าหน้าที่ของสายการบินมาเลเซียกล่าวว่า ถ้าหากมีการเปลี่ยนทิศทางบินดังกล่าวโบอิ้ง 777 ก็จะหมดเชื้อเพลิงลงในย่านอ่าวเบงกอล แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ยังไม่มีฝ่ายใดทราบเส้นทางบินอันแท้จริงของเที่ยวบิน MH370 หลังจากเรดาร์ของฝ่ายทหารมาเลเซียจับได้ขณะอยู่ไม่ไกลจากเกาะปีนัง
เรดาร์ของมาเลเซียที่ตั้งอยู่บนเขาสูงจากระดับน้ำทะเล 800 เมตร ในปีนังสามารถจับภาพสุดท้ายของเที่ยวบิน MH370 เอาไว้ได้เมื่อเวลา 02.15 น.วันเสาร์ที่ 8 มี.ค.2557 ตามเวลาในท้องถิ่น ขณะบินในความสูง 29,500 ฟุต ห่างจากปีนังไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 200 ไมล์ทะเล (ราว 370 กิโลเมตร) ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่เที่ยวบิน MH370 ปรากฏให้เห็นในทางอิเล็กทรอนิกส์
เป็นที่ทราบกันดีว่า กองทัพมาเลเซียนั้นเป็นเรดาร์แจ้งเตือนระยะไกล RAT-31 DL ผลิตโดยบริษัท SELEX Sistemi Integrati ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Finmeccanica SpA กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีการบินและการอวกาศในอิตาลี ที่มีผลงานมากมาย ข้อมูลจากแหล่งผลิตระบุว่า RAT-31DL มีระยะตรวจการณ์ไกลถึง 400 กม.
.
2
3
4
5
6
แต่พิกัดสุดท้ายที่เรดาร์มองเห็นเที่ยวบิน MH370 นั้นอยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตของไทยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เพียง 70 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 130 กม.เท่านั้น ซึ่งเป็นระยะทางที่เรดาร์ของไทยสามารถจับภาพได้อย่างชัดแจ๋ว เช่นเดียวกับอีก 2 สถานีที่อยู่ไกลออกไปใน จ.สงขลา และที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ที่มีระยะตรวจการณ์ครอบคลุมไปถึง (โปรดดูภาพที่ 1 ประกอบ)
การบินกลับทิศทางของโบอิ้ง 777 ไม่ว่าจะถูกจี้บังคับ หรือบินโดยความสมัครใจของนักบินเอง และไม่ว่าจะด้วยแรงจูงใจเช่นไร ย่อมจะไม่พ้นสายตาของเรดาร์กองทัพไทยอย่างแน่นอน เว็บไซต์เอเชียดีเฟ้นซ์ด็อทคอมกล่าว ซึ่งไม่ต่างกันกับความเห็นของนักวิเคราะห์ด้านกลาโหมอีกหลายคนในช่วง 2-3 วันมานี้
ต่างไปจากของกองทัพมาเลเซีย ระบบเรดาร์ของกองทัพไทยยังคงเป็นความลับไม่มากก็น้อย เพราะอย่างน้อยที่สุดแม้จะทราบกันดีว่าเป็นเรดาร์แจ้งเตือนระยะไกล AN/FPS-130X ที่ผลิตโดยบริษัทนอร์ธร็อบกรัมแมน (Northrop Grumman) แห่งสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ทราบรุ่นที่กองทัพไทยเลือกใช้ และทราบกันแต่เพียงว่าทั้ง 3 สถานีรวมอยู่ในระบบป้องกันในภาคใต้ที่เรียกว่า RTADS (Royal Thai Air Defense System) เฟสที่ 3
เรดาร์ของไทยทั้งที่สงขลา และภูเก็ต และสมุย มีระยะตรวจการณ์ที่สามารถจับเหตุการณ์ได้ตลอดเส้นทางที่เที่ยวบิน MH370 บินผ่านตามข้อมูลของกองทัพมาเลเซีย เรดาร์ของไทยทั้ง 3 สถานีต่างครอบคลุมพื้นที่เหลื่อมกัน และยังเหลื่อมเข้าไปในเขตตรวจการณ์ของเรดาร์มาเลเซียด้วย (โปรดดูภาพที่ 3 ประกอบ) ซึ่งเป็นพิสัยที่สามารถจับความเคลื่อนไหวใดๆ ในอาณาบริเวณดังกล่าวได้ทั้งหมด
คำถามก็คือ กองทัพไทยยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้หรือไม่?
.
เรดาร์ AN FPS-130X ของกองทัพไทย
.
เรดาร์ Selex RAT31DLM กองทัพมาเลเซีย