.
ริยาด (รอยเตอร์) - พระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ แห่งซาอุดีอาระเบีย ทรงสั่งการให้รัฐบาลส่งความช่วยเหลือไปให้แก่ชาวมุสลิมโรฮิงยาในพม่า เป็นมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ โดยกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า เป็นเป้าหมายการปราบปรามของทางการประเทศนั้น นับตั้งแต่การจลาจลที่เกิดขึ้นในเดือน มิ.ย.
รายงานชิ้นหนึ่ง โดยสำนักข่าวของทางการซาอุฯ กล่าวว่า ประชาคมชาวโรฮิงญาได้ “ตกเป็นเป้าการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายด้าน รวมทั้งการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยให้หมดไป การฆาตกรรม ข่มขืน และการบีบบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน”
“พระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์..ได้มีพระราชดำรัสให้ส่งความช่วยเหลือมูลค่า 50 ล้านดอลลาร์ไปให้แก่ชาวมุสลิมโรฮิงญาในพม่า” สื่อในซาอุดีอาระเบียรายงานเรื่องนี้ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยไม่มีการกล่าวโทษฝ่ายใดที่เกิดการล่วงละเมิดดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮิวแมนไรท์วอทช์ (Human Rights Watch) แถลงในวันที่ 1 ส.ค. ระบุว่า ชาวโรฮิงญาเจ็บปวดกับการถูกจับ ถูกเข่นฆ่า และข่มขืนด้วยน้ำมือของกองกำลังรักษาความปลอดภัยพม่า
ชนชาติส่วนน้อยกลุ่มนี้ ตกเป็นเป้าการปราบปรามหลังการวางเพลิง และการไล่ไล่ฟันในเดือน มิ.ย. ทั้งโดยชาวโรฮิงญาเอง และชาวพุทธในรัฐระไค กลุ่มเฝ้าระวังด้านสิทธิมนุษยชนกล่าว
แต่พม่า ซึ่งมีชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 800,000 คน ที่ไม่ได้รับการยอมรับเป็นชนชาติส่วนน้อยอีกกลุ่มหนึ่งในประเทศที่มีชนกลุ่มน้อย และกลุ่มนับถือศาสนาต่างๆ กล่าวว่า พม่าได้ใช้ “ความอดกลั้นอย่างที่สุด” ในการปราบปรามการจลาจลที่ผ่านมาให้สงบลง
ซาอุดีอาระเบียได้ทำตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ของมุสลิมทั่วโลก ฐานเป็นถิ่นประสูติของพระมะหะหมัด และยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดจำนวนหนึ่งของศาสนา ทั้งในนครเมกกะ และเมดินา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลในกรุงริยาดก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มรณรงค์ประชาธิปไตยอยู่บ่อยๆ ว่า ขาดความเป็นประชาธิปไตย
สัปดาห์ที่แล้ว คณะรัฐมนตรีซาอุดีอาระเบียได้กล่าวประณามพม่าที่ใช้ความรุนแรงต่อชาวมุสลิมในรัฐทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ และองค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation) ซึ่งประชุมในวันที่ 31 ก.ค. ที่เมืองเจ็ดดาห์ ได้เรียกร้องประเทศสมาชิกให้ความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮิงญา
กลุ่ม OIC กำลังจะประชุมระดับผู้นำในนครเมกกะในวันอังคารนี้.
.