.
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- เวลาผ่านไป 2 ปีกับ 6 เดือน ชาวม้งที่ถูกส่งไปจากศูนย์พักพิงห้วยน้ำขาว อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ของไทยในปลายปี 2552 จำนวนหลายร้อยคนได้ตั้งหลักแหล่งอย่างสมบูรณ์แล้วในแขวงเวียงจันทน์ทางตอนเหนือเมืองหลวงของลาว โดยหน่วยงานที่ดูเรื่องนี้ได้มอบชุมชนแห่งใหม่ให้แก่ทางการท้องถิ่น สื่อของทางการลาวรายงานเรื่องนี้ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
หมายความว่าการตั้งหลักแหล่งได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว และทุกครอบครัวมีบ้านเรือนอาศัย มีที่ทำกิน และอยู่ภายใต้การปกครองของทางการแขวงเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป
พิธีส่งมอบ “หมู่บ้านพัฒนาเขาหลัก” ในเขตเมือง (อำเภอ) กาสี ให้แก่ทางการแขวงเวียงจันทน์จัดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดย พลจัตวา บัวเสี้ยง จำปาพัน รองหัวหน้ากรมใหญ่เสนาธิการ กองทัพประชาชนลาว ในฐานะหัวหน้าคณะรับผิดชอบชี้นำแก้ไขปัญหาคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย เป็นผู้มอบให้แก่นายบัวสอน เพ็ดลาวัน เจ้าเมือง (นายอำเภอ)
นายคำเมิง พงทะดี กรรมการศูนย์กลางพรรค เลขาฯ พรรค/เจ้าแขวง แขวงเวียงจันทน์ เข้าร่วมพิธีด้วย หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่รายงาน
ชุมชนแห่งนี้สร้างขึ้นมาก่อน คือตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2550 ปัจจุบันมีราษฎรทั้งหมด 52 ครัวเรือน รวม 484 คน ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพจากศูนย์ห้วยน้ำขาวในประเทศไทย สื่อของทางการนครเวียงจันทน์กล่าว
แต่ละครอบครัวมีเนื้อที่สำหรับทำนา 4.2 ไร่ และยังมีพื้นที่อีกส่วนหนึ่งสำหรับการเลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก และเป็นแหล่งค้าขาย ทุกครัวเรือนมีน้ำริน (น้ำจากธรรมชาติ) ใช้ มีสิ่งอำนวยความสะดวก มีสถานีอนามัย โรงเรียนประถมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายอีก 1 แห่ง
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการศึกษาอบรมแนวคิดพ่อแม่พี่น้องประชาชน โดยได้นำเอาเอกสารแนวทางนโยบายของพรรค (ประชาชนปฏิวัติลาว) เช่น เอกสารกลอุบายเปลี่ยนแปลงโดยสันติ ของศัตรู เอกสารระเบียบกฎหมายต่างๆ เพื่อให้พ่อแม่ประชาชนได้รับรู้และเข้าใจ” เวียงจันทน์ใหม่ระบุ
หนังสือพิมพ์ของทางการนครเวียงจันทน์กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังได้ลงทุนสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน สร้างข่ายสายไฟฟ้า บุกเบิกพื้นที่เพาะปลูก สร้างระบบชลประทาน มอบรถไถนาขนาดเล็ก รถการแพทย์ฉุกเฉิน ให้แก่ชุมชนแห่งนี้อีกด้วย
“โดยรวมแล้วพ่อแม่ประชาชนในหมู่บ้านผาหลักมีความเชื่อมั่นต่อการนำของพรรคและรัฐในแต่ละระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจการปกครองขั้นบ้าน เมือง และขั้นแขวง ซึ่งตลอดเวลาได้เอาใจใส่ดูแลให้การช่วยเหลือคนเหล่านี้เป็นการปรับปรุงคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ปัจจุบันประชาชนมีความคุ้นเคยต่อการทำมาหากินแบบคงที่ รู้จักทำนา รู้จักค้าขาย..” และที่สำคัญคือ “ลูกหลานได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง ทำให้คนเหล่านี้มีความรู้ความสามารถแยกแยะความผิดความถูกได้อย่างชัดแจ้ง”
ย้อนอดีต 2 ปีครึ่ง by Reuters
2
3
4
5
6
.
อย่างไรก็ตาม สื่อของทางการไม่ได้กล่าวถึงชาวม้งอีกหลายพันคนที่อพยพไปจากศูนย์พักพิงห้วยน้ำขาวในคราวเดียวกัน แต่กล่าวว่าชาวม้งที่บ้านเขาหลักนี้ได้อาศัยอยู่กับชาวม้งอีกจำนวนหนึ่งที่เคยอยู่ในเขตเขาและถูกนำลงพื้นราบ เพื่อทำกินตามแผนพัฒนาตามนโยบายของพรรคและรัฐบาล
ก่อนปีใหม่ปี 2553 เพียงไม่กี่วัน ทหารไทยหลายพันนายได้ขนย้ายชาวม้งราว 4,400 คนไปยังศูนย์ตรวจคนเข้าเมือง จ.หนองคาย ก่อนจะส่งมอบคนทั้งหมดให้แก่ทางการลาว ในความร่วมมือระหว่างสองประเทศนำคนเหล่านี้กลับในฐานะผู้ลักลอบออกนอกประเทศอย่างผิดกฎหมายในลาว และเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายในประเทศไทย
ฝ่ายทหารของไทยไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้ารายงานการขนย้าย โดยกล่าวว่าไม่ต้องการเปิดโอกาสให้ชาวม้ง “โฆษณาชวนเชื่อผิดๆ” ให้เกิดความเข้าใจผิดๆ รวมทั้งการทำร้ายตัวเองจนได้รับบาดเจ็บและกล่าวหาว่าถูกเจ้าหน้าที่ของไทยทุบตี กระทำทารุณกรรม ทั้งนี้เพื่ออ้างเป็นสาเหตุมิให้ถูกส่งตัวกลับ
การนำกลับลาวมีขึ้นหลังจากไม่มีประเทศใดแสดงความต้องการนำคนเหล่านี้ตั้งถิ่นฐาน ขณะที่รัฐบาลไทยและลาวกล่าวว่า ผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ลี้ภัยเนื่องจากเป็นผู้หนีความยากลำบากทางเศรษฐกิจ แม้หน่วยงานสิทธิมนุษยชนจะยืนยันว่าหลายคนเข้าข่ายที่จะได้รับฐานะผู้ลี้ภัยก็ตาม
ในเดือน ธ.ค. 2552 องค์การนิรโทษกรรมสากลและหน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกคำแถลงด่วน เรียกร้องมิให้รัฐบาลไทยส่งตัวชาวม้งจากศูนย์ห้วยน้ำขาวให้แก่ทางการลาว หลายฝ่ายเกรงว่าคนเหล่านี้อาจจะถูกทางการคอมมิวนิสต์ลงโทษ
.
7
8
.
เวลาต่อมาทางการลาวได้อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวจากทั่วโลก เจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ และเจ้าหน้าที่การทูตในนครเวียงจันทน์ได้เข้าไปสังเกตการณ์การตั้งถิ่นฐานของคนเหล่านี้ซึ่งกระจายอยู่ในหลายจุด ทั้งแขวงบอลิคำไซ และแขวงเวียงจันทน์
ชาวม้งถูกเรียกเป็น “พันธมิตรที่ถูกลืม” ของสหรัฐฯ คนเหล่านี้เคยร่วมกับวอชิงตันทำสงครามต่อต้านฝ่ายคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวในช่วงสงครามเวียดนาม และได้ชื่อเป็นนักรบที่ทรหด
รัฐสภาสหรัฐฯ ไม่เคยอนุญาตให้รัฐบาลประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เข้าทำสงครามในลาว แต่องค์การสืบราชการลับ (ซีไอเอ) ได้ปฏิบัติการอย่างลับๆ เข้าจัดตั้งฝึกฝนและติดอาวุธ ในเขตทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง จนเกิดเป็นกองทัพชาวม้งขึ้นมา และเลือก พล.ต.วังปาว นายทหารชนชาติม้งแห่งกองทัพฝ่ายรัฐบาลราชอาณาจักร เป็นผู้บัญชาการ
ทางการลาวได้บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ลาว-เวียดนามที่เรียบเรียงขึ้นใหม่เมื่อ 2553 ระบุว่า “บั้นรบแขวงเชียงขวาง” เป็นสมรภูมิรบใหญ่ 1 ใน 3 แห่งในดินแดนลาว ในช่วงสงครามเวียดนาม
นายพล วังปาวได้เดินทางออกจากลาวก่อนที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะยึดอำนาจได้สำเร็จในเดือน ธ.ค. 2518 และ ถึงแก่กรรมในเดือน ม.ค. 2554 แต่ไม่ได้รับเกียรติให้ฝังศพในสุสานอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสุสานวีรชนแห่งชาติ.