เอเอฟพี - รถถัง ชิ้นส่วนปืนใหญ่ และข้าวของจากสมัยสงครามอีกมากมาย ยังคงทิ้งร่องรอยอยู่รายรอบหุบเขา ที่ครั้งหนึ่งกองกำลังทหารเวียดนามสามารถเอาชนะเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสได้อย่างหมดจดที่เดียนเบียนฟู ซึ่งผ่านมาแล้วเกือบ 60 ปี
แต่การรบครั้งใหม่ ไม่ใช้กับคู่ต่อสู้ แต่เป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งนี้และกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวมายังประเทศให้มากขึ้น ซึ่งเป็นงานหนักสำหรับลูกหลานของเหล่าทหารที่ได้รับชัยชนะในครั้งนั้น
เจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวของท้องถิ่น กล่าวว่า ทางการพยายามที่จะฟื้นฟูอาวุธและสิ่งเตือนความทรงจำอื่นๆ ของการต่อสู้ในอดีต เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน ขณะเดียวกัน ก็ปรับปรุงเส้นทางคมนาคม เนื่องจากทางการหวังที่จะผลักดันให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหรรมหนึ่งที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ใกล้ชายแดนลาว
“ลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ไม่พอใจกับระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ย่ำแย่และคุณภาพการบริการของที่นี่” นางเจิ่น ทู้ งา อายุ 47 ปี ดำเนินกิจการที่พักขนาดเล็กในเมืองเดียนเบียน กล่าว
สำหรับผู้ที่เดินทางมายังเดียนเบียนฟู จะพบว่า ทางการได้พยายามรักษาอนุรักษ์สิ่งช่วยเตือนความทรงจำเกี่ยวกับการต่อสู้นาน 56 วัน ที่สิ้นสุดลงในวันที่ 7 พ.ค.2497 และเป็นเหตุการณ์สำคัญต่อความเป็นอิสรภาพของเวียดนาม
“ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ตัวแทนของสงครามในอินโดจีนได้เป็นอย่างดีจากของเก่าต่างๆ ที่จัดแสดงอยู่” และการเป็นแหล่งต่อสู้ชี้ขาดชะตากรรมของเวียดนามทำให้ที่แห่งนี้เป็นยิ่งกว่าสถานที่สำคัญ นายเดวิด สมิธ ชาวออสเตรเลียที่เดินทางไปเยี่ยมชม กล่าว
ทนายความชาวต่างชาติคนเดิม กล่าวว่า เขาแวะหยุดที่เมืองเดียนเบียนระหว่างทางไปลาว จากเมืองซาปา สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่นักท่องเที่ยวต่างรู้จักกันดี และเป็นที่น่าเสียดายที่ชาวตะวันตกคนอื่นๆ บนรถโดยสารคันเดียวกันกับเขาเลือกที่จะเดินทางต่อ แต่ก็มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการขาดแคลนคนที่พูดภาษอังกฤษได้ในเมืองนี้ ไม่เหมือนตามเมืองใหญ่ๆ หรือตามรีสอร์ตอื่นๆ ของเวียดนาม
“ยากมากกว่าจะได้อาหารเมื่่อคืนนี้” นอกจากนั้น ป้ายต่างๆ ตามของเก่าสมัยสงครามมีแต่ภาษาเวียดนามเพียงอย่างเดียว ไม่มีภาษาอังกฤษ หรือฝรั่งเศส ซึ่งหาคนพูดได้ยาก สมิธ กล่าว
ฟื้นอดีตขึ้นมาขาย AFP
2
3
4
การท่องเที่ยวแห่งประเทศเวียดนาม ทราบดีว่า มาตรฐานการบริการของประเทศจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง และนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนเวียดนามน้อยกว่าไทยและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
การต่อสู้ที่เดียนเบียนฟู เป็นการต่อสู้ของกองกำลังเวียดนามที่บัญชาการรรบโดย นายพลหวอ เงวียน ย้าป ที่ครบรอบวันคล้ายวันเกิด 100 ปี ไปเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา กองกำลังเวียดมินห์ได้ขนปืนใหญ่ผ่านป่าขึ้นที่สูง เพื่อล้อมฝรั่งเศส ที่บัญชาการโดยพันเอก คริสเตียน เดอ คาสตรีส์ ซึ่งหลุมบังเกอร์ขนาด 4 ห้อง ที่ใช้เป็นที่บัญชาการถูกบูรณะขึ้นใหม่บางส่วน
นายดว่าน วัน จี๋ เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวในพื้นที่ กล่าวว่า ส่วนพื้นที่บัญชาการดั้งเดิม จะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคต
การต่อสู้ดังกล่าวนำไปสู่การล่มสลายของอาณานิคมฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน การต่อสู้ดังกล่าวก็ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายพันคนจากทั้งสองฝ่าย
สนามเพลาะถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นช่วงๆ บนเนินเขา Hill A-1 หรือที่รู้จักในชื่อ “Eliane” ตามภาษาฝรั่งเศส ที่ที่การสู้รบดำเนินไปอย่างดุเดือด พื้นที่เต็มไปด้วยเลือดระหว่างการต่อสู้
แต่ในเวลานี้ พื้นที่ดังกล่าวเงียบสงบและเป็นสวนสาธารณะเพื่อเป็นอนุสรณ์อยู่ใจกลางเมืองเดียนเบียน ถัดไปเป็นป้ายหินสลักชื่อเรียงรายหลายแถวในบริเวณสุสานนักต่อสู้ชาวเวียดนามที่เสียชีวิต
ใกล้กับบังเกอร์ของเดอคาสตรีส์ เสาหินสีขาวตั้งอยู่ในสวนอันเงียบสงบที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตชาวฝรั่งเศส แต่ไม่เหมือนกับอนุสาวรีย์อื่นๆ ในเดียนเบียนฟู เสาหินนี้เป็นความคิดริเริ่มของกองทหารต่างชาติที่ร่วมรบในสงคราม
.
5
6
7
นายจี๋ กล่าวว่า เมืองเดียนเบียน ไม่ต้องการเพียงแค่เป็นที่ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ แต่ต้องการให้นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปกับสถานที่ทางธรรมชาติของเมือง รวมทั้งผู้ที่กำลังมองหาประสบการณ์ทางวัฒนธรรมของบรรดาชนพื้นเมืองด้วยการพักแบบโฮมสเตย์ เนื่องจากชาวเดียนเบียนส่วนมาก กว่า 500,000 คน เป็นชาวไท (ไต) และกับม้ง
นายจี๋ กล่าวว่า แม้จะมีเที่ยวบินจากกรุงฮานอย 2 เที่ยวต่อวัน แต่นักท่องเที่ยวก็มักที่จะเดินทางมายังเมืองเดียนเบียนด้วยรถ ซึ่งหากถนนได้รับการปรับปรุง คาดว่า นักท่องเที่ยวจะเดินทางมากขึ้น เพราะการเดินทางจากกรุงฮานอยในเวลานี้ใช้เวลาประมาณ 11 ชม.
แต่แม้ว่าเมืองจะตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีอุปสรรค นักท่องเที่ยวก็ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้น จากกว่า 70,000 คน ในปี 2543 เป็น 300,000 คน ในปี 2553 แม้ว่านักท่องเที่ยวเหล่านั้นจะไม่ได้มาเยี่ยมชมอาวุธ สิ่งของสมัยสงครามเหล่านี้ก็ตาม
“จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่้ปีมานี้ เพราะในปี 2545 รัฐบาลอนุมัติโครงการอนุรักษ์สิ่งของสมัยสงครามเหล่านี้” นายจี๋ กล่าว
แต่เจ้าหน้าที่รายนี้ก็ระบุว่าปัญหาคือนักท่องเที่ยวพักอยู่ไม่นานหรือไม่ค่อยใช้จ่ายมากเท่าไหร่ โดยการท่องเที่ยวจัดอยู่ในอันดับที่ 2 ของแหล่งรายได้ของจังหวัด ประมาณ 1.8 ล้านล้านด่ง (85 ล้านดอลลาร์) ในปี 2552
จังหวัดเดียนเบียนทำงานร่วมกันกับจังหวัดอื่นๆ เพื่อหวังที่จะกระตุ้นนักท่องเที่ยว และเมื่อไม่นานนี้ คณะผู้แทนได้เดินทางไปภาคเหนือของลาว เยี่ยมชมเมืองหลวงพระบาง ที่เป็นแหล่งมรดกโลก หาหนทางกระตุ้นการท่องเที่ยวระหว่าง 2 เมือง
“เรารู้ว่าเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดพยายามอย่างมาก แต่จำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเปลี่ยนเมืองเดียนเบียนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างแท้จริง” เจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง กล่าว