ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ฮุนเซนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว มี จีน เกาหลี เวียดนามเป็นลูกพี่ใหญ่ มีสัมพันธ์อันดีกับสิงคโปร์ ทำให้เขาหาญกล้าท้าทายเพื่อนบ้านที่เข้มแข็งกว่าอย่างประเทศไทย โดยไม่มีอะไรจะสูญเสียมากมาย ขณะที่ไทยจมปลักกับปัญหาแตกแยกทางการเมืองภายใน
ผู้นำที่อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุดเอเชีย ยังใช้การบาดหมางกับไทยโกยคะแนนนิยมในประเทศได้อย่างมากมาย นับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ฮุนเซน ทำได้ดีกว่าประเทศไทยมาก
ทั้งหมดนี้เป็นการมองของนักวิเคราะห์ในสิงคโปร์ ที่รายงานโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งระบุว่าการขู่จะทำสงครามกับไทยได้สะท้อนให้เห็นความเป็นพันธมิตรอันใกล้ชิดกับจีน ซึ่งทำให้ผู้นำกัมพูชา กล้ายืนขึ้นผงาดกับไทย
“ฮุนเซน ทราบดีว่า เขาไม่ต้องการประเทศไทยสักเท่าไร การมีสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับนักลงทุนจากจีน และเอเชียตะวันออก และสัมพันธ์อันดีกับสิงคโปร์ ทั้งหมดนี้ทำให้ฮุนเซนมีฐานะต่างไปจากในอดีตเป็นอย่างมาก” รอยเตอร์อ้างคำพูดของ ไมเคิล มอนเตซาโน นักวิจัยที่สถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์
“เขาได้มีความริเริ่มทางการเมืองอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา และเหนือชั้นกว่าไทยมากในทุกๆ ด้าน ดูเหมือนว่า เขาจะควบคุมได้ และการเผชิญหน้าที่ชายแดนมีแต่ช่วยเขาทางด้านการเมืองขณะที่ชี้ให้เห็นความยุ่งยากในกรุงเทพฯ” นายมอนเตซโน กล่าว
การเผชิญหน้าที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 11 ราย บาดเจ็บอีก 85 ในเขตป่าแห่งความขัดแย้งรอบๆ ปราสาทพระวิหารสมัยคริสต์ศตรวรรษที่ 11 อันเป็นสัญลักษณ์แห่งความภูมิใจของกัมพูชา ได้สร้างความยุ่งยากให้กับความแตกแยกทางการเมืองอันล้ำลึกในประเทศไทยยิ่งขึ้น
การปะทะกันที่ชายแดนสัปดาห์นี้ระหว่างทหารของสองฝ่าย ได้ทำให้รัฐบาลไทยตกอยู่ภายใต้การขัดแย้งทางการเมือง และทำให้ฮุนเซนใช้เป็นโอกาสในการโกยคะแนน โดยเศรษฐกิจที่อ่อนไหวของกัมพูชามีอัตราเสี่ยงน้อยนิด
การค้าสองฝ่ายลดลงเรื่อยๆ และการหลั่งไหลเข้าไปของทุนจากจีน เกาหลี และเวียดนาม ทำให้ผู้นำที่อยู่มายาวนานมีสิ่งต้องสูญเสียน้อยมาก ขณะที่เขากล้ายืนขึ้นเย้ยหยันประเทศไทย และทั้งหมดนี้ดูจะทำให้ฮุนเซนมีความพึงพอใจ นักวิเคราะห์คนเดียวกัน กล่าว
ผู้นำไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเผชิญหน้ากับการประท้วงจากกลุ่มคนเสื้อเหลือง ซึ่งแม้ว่าจะเล็ก แต่ก็เป็นกลุ่มที่เคยสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ มาก่อน คนกลุ่มนี้มองว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อ่อนแอ และอ่อนด้อยเกินไปในการต่อกรกับกัมพูชา และ ฮุนเซน มองว่า คนเสื้อเหลืองเป็นฝ่ายตรงข้ามกับตน
หากความสัมพันธ์ทางการค้าถูกบั่นทอนลงไปก็จะไม่ส่งผลกระทบมากนักต่อเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่าย ธนาคารแห่งชาติของไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจที่มีมูลค่า 265,000 ล้านดอลลาร์ของไทย ซึ่งใหญ่โตเป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากการส่งออกไปกัมพูชา ที่มีมูลค่าไม่ถึง 1% ของจีดีพี
ขณะเดียวกัน ทำธุรกิจกับบรรดามหาอำนาจใหม่ทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย ก็จะทำให้ฮุนเซนมั่นใจได้ว่า ท่าทีของเขาเองจะส่งผลกระทบน้อยมากต่อเศรษฐกิจๆ เล็ก ที่มีมูลค่าไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ และเป็นประโยชน์ต่อจีนที่สูญเสียประโยชน์ที่ได้จากแรงงานราคาถูกไปให้แก่เศรษฐกิจใหม่ เช่น กัมพูชา
แต่ นายจัน สุพาล ประธานสมาคมเศรษฐกิจกัมพูชาของภาคเอกชน กล่าวกับรอยเตอร์ว่า “เราค้าขายกับไทยมากมาย คำถามก็คือ มันจะง่ายหรือเปล่าในการหาอะไรมาทดแทนกับการค้านี้”
“สิ่งที่เรานำเข้าจากไทย สามารถนำเข้าจากเวียดนาม จีน มาเลเซีย หรือเกาหลีใต้ ได้” นายสุพาล กล่าว
นักวิเคราะห์รายนี้ ยังชี้ให้เห็นการลงทุนจากเกาหลีที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีมานี้ รวมทั้งเงินกู้กับเงินช่วยเหลืออีกจำนวนหนึ่งด้วย
การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของไทยในกัมพูชาลดลงเมื่อเทียบกับจีน นับตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ซึ่งผู้ประท้วงได้เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ และโจมตีสถานประกอบการธุรกิจของไทยอีกหลายแห่ง
นักวิเคราะห์คนนี้ยังชี้ให้เห็นการเติบใหญ่ขยายตัวการลงทุนและการค้าขายกับจีน นอกจากนั้นจีนยังให้เงินช่วยเหลือทั้งให้เปล่า และเงินกู้อีกหลายพันล้านดอลลาร์ในการพัฒนาก่อสร้างถนนหนทาง ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ จีนกำลังลงทุนสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า ลงทุนในเหมืองแร่และยางพารา เป็นเงินมหาศาล
จีนยังให้อาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่งที่กัมพูชาใช้ต่อสู้กับไทยที่ชายแดนขณะนี้ นักวิเคราะห์ในสิงคโปร์ กล่าว
แต่ นายปีเตอร์ บริมเบล นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารพัฒนาเอเชีย กล่าวว่า ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายที่ต้องพึ่งพาการค้าขายชายแดน ขณะที่การท่องเที่ยวของกัมพูชา อันเป็นแหล่งรายได้ใหญ่อันดับ 2 จะได้รับผลกระทบเนื่องจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เดินทางจากประเทศไทย
“สำหรับประชาชนที่อาศัยตามแนวชายแดนจะเป็นเรื่องหายนะ” นายบริมเบล กล่าว และเสริมว่าสำหรับทั้งสองฝ่าย ความขัดแย้งเป็น “การประชาสัมพันธ์ที่เลวร้าย”