โดย วุฒิพงษ์ หลักคำ-บุญญะสาร
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- การประชุมใหญ่ระดับชาติครั้งที่ 11 ของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เริ่มขึ้นในเวลา 8 นาฬิกาวันพุธ (12 ม.ค.) นี้ ในกรุงฮานอย ซึ่งจะมีการทบทวนผลงานกับข้อบกพร่องต่างๆ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา และพิจารณารายงานเศรษฐกิจและการเมืองคณะกรรมการกลางพรรคชุดที่ 10 ตลอดจนพิจารณาเอกสารสำคัญต่างๆ เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า
พรรคคอมมิวนิสต์กลังจะพิจารณาแผนการทำให้ประเทศนี้จากสังคมเกษตรกรรมโดยพื้นฐาน ให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมโดยพื้นฐานภายในปี 2563 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายถึงการผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างขนานใหญ่
ขณะเดียวกัน พรรคคอมมิวนิสต์ก็กำลังจะเลือกผู้นำคนใหม่ เลือกคณะกรรมการกรมการเมืองชุดใหม่ซึ่งจะมีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับจำนวนกรรมการกลางพรรค และ กรรมการสำรอง
พิธีเปิดการประชุมจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ภายใต้บรรยากาศที่เคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ สื่อออนไลน์ของทางการ กล่าว
การประชุมใหญ่จะดำเนินไปจนถึงวันที่ 19 ม.ค.ภายใต้หัวข้อ “สืบต่อและเสริมขยายการนำและการต่อสู้ของพรรค ส่งเสริมการรวมพลังแห่งชาติรอบด้านเพื่อผลักดันโด่ยเหมย สร้างพื้นฐานเพื่อให้เวียดนามเป็นประเทศอุตสาหกรรมทันสมัยโดยพื้นฐานในปี 2563” ทั้งนี้ เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนาม
โด่ยเหมย (Doi Moi) ในภาษาเวียดนามหมายถึง “การเปลี่ยนแปลงใหม่” หรือ “การฟื้นฟูใหม่” อันเป็นยุทธศาสตร์ที่พรรคคอมมิวนิสต์กำหนดขึ้นเมื่อ 21 ปีก่อน เพื่อปฏิรูปแนวคิดและนำไปสู่การปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดประเทศรับวิธีการทุนนิยมไปใช้ “อย่างจำกัด” เพื่อเร่งการพัฒนาเศรษฐกิจ
นโยบายเปลี่ยนใหม่ของคอมมิวนิสต์เวียดนามเป็นการขานรับ แนวคิด “เปเรสตรอยกา” (Perestroika) ที่มีความหมายเดียวกันของพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียตในอดีต ท่าส่งอิทธิพลต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในกลุ่มเดียวกัน รวมทั้งยุทธศาสตร์ “จินตนาการใหม่” ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ภายใต้การนำของนายไกสอน พมวิหาน ด้วย
ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้แทน 1,377 คน ที่ได้รับเลือกจากหน่วยพรรคทั้งในระดับรากฐานและส่วนกลาง ทั้งหมดเป็นตัวแทนของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ 3.6 ล้านคนทั่วประเทศ
วีเอ็นเอ ยังกล่าวอีกว่า ผู้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งที่ 11 ของพรรค ยังประกอบด้วย อดีตเลขาธิการใหญ่พรรค อดีตประธานาธิบดี อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา อดีตกรรมการกรมการเมือง อดีตเลขาธิการพรรคสาขา อดีตรองประธานาธิบดี อดีตรองประธานรัฐสภา และอดีตรองนายกรัฐมนตรี
พรรคคอมมิวนิสต์ยังเชิญบรรดา “มารดาวีรชน” นักวิชาชีพที่มีชื่อเสียง และยุวชนจำนวนมากเข้าสังเกตการณ์การประชุมครั้งนี้ วีเอ็นเอ กล่าว
ประธานาธิบดี เหวียนมีงเจี๊ยต (Nguyen Minh Triet) ซึ่งเป็นกรรมการกรมการเมืองหนึ่งใน 14 คน เป็นผู้กล่าวเปิดประชุม นายนงดึ๊กแหม่ง (Nong Duc Manh) เลขาธิการใหญ่พรรคเป็นผู้เสนอเอกสารต่างๆ ของสมัชชาครั้งที่ 11 และ นายเจืองเติ๋นซาง (Truong Tan Sang) กรรมการกรมการเมือง กรรมการประจำ คณะเลขาธิการพรรค จะเป็นผู้รายงาน “การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามและแนวทางแห่งสมัชชาที่ 10”
นั่นหมายถึง “รายงานการเมือง” (Political Report) ของคณะกรรมการกลางพรรคชุดปัจจุบัน
ตามประเพณีดั้งเดิมของชาวคอมมิวนิสต์ค่ายโซเวียต ผู้ที่ได้รับเลือกขึ้นเสนอ “รายงานการเมือง” ต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรค มักจะเป็น “ทายาท” ที่จะขึ้นเป็นผู้นำพรรคในสมัยต่อไปซึ่งมีวาระ 5 ปี
ในการประชุมใหญ่ปี 2549 ที่มีการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 นายแหม่งซึ่งขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นประธานรัฐสภา ได้รับเลือกให้เป็นผู้เสนอรายงานการเมือง ในฐานะกรรมการกรมการเมือง และ เป็นผู้เสนอเอกสารสำคัญนี้อีกครั้งหนึ่งในการประชุมใหญ่ครั้งที่ 10 ปี 2549 ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน
ปัจจุบัน นายแหม่ง วัย 70 ปี ยังเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพรักจากสมาชิกพรรค เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ในฐานะผู้นำสูงสุดของพรรค
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในเวียดนาม กล่าวว่า นายซางซึ่งเติบโตมายุคโด่ยเหมย จนก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคสาขานครโฮจิมินห์ และ เป็นประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจกลางของพรรค เป็น “ชาวใต้” ผู้ที่มีโอกาสได้รับเลือกขึ้นเป็นผู้นำพรรคมากที่สุดคนหนึ่ง หลังจากนายแหม่งซึ่งเป็น “ชาวเหนือ” อยู่ในตำแหน่งมาถึง 2 สมัย
แต่ในขณะเดียวกัน หลายเสียงก็ได้ทุ่มน้ำหนักไปที่ประธานรัฐสภาคนปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นชาวฮานอยและเติบใหญ่ในกรุงฮานอยในฐานะเลขาธิการพรรคสาขานครหลวง โดยเชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์จะขยับนายจ่องขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่พรรค และนายซางเป็นประธานรัฐสภา เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลต่อไป
นักวิเคราะห์เชื่อกันว่า นายกรัฐมนตรี เหวียนเติ๋นยวุ๋ง จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปอีก 1 สมัย แม้ว่า 5 ปีที่ผ่านมาจะได้รับการท้าทายจากรัฐสภามาหลายครั้ง โดยตำแหน่งในคณะกรรมการกรมการเมืองชุดใหม่จะเป็นตัวบ่งชี้อนาคต
แต่การเลือกตัวนายกรัฐมนตรีกับรัฐบาลชุดใหม่จะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่ารัฐสภาชุดใหม่จะเปิดประชุม หลังการเลือกตั้งที่กำหนดขึ้นในกลางเดือน พ.ค.ศกนี้.