โดย วุฒิพงษ์ หลักคำ-บุญญะสาร
ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกำลังจะเปิดประชุมใหญ่ผู้แทนทั่วประเทศ (National Congress) ในวันพุธ 12 ม.ค.2554 นี้ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกำลังจับตาการเปลี่ยนแปลงในการนำของพรรค แม้จะไม่ได้คาดหวัง จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายอย่างขนานใหญ่ก็ตาม
การประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 11 จะดำเนินไปจนถึงวันที่ 29 นายเหวียนบั๊กเซิน (Nguyen Bac Son) รองประธานคณะกรรมการโฆษณาและอบรมของพรรค กล่าวว่ากำลังจะเป็นสมัชชาครั้งแรกในทศวรรษที่ 2 ของศตวรรษที่ 21 ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์กำลังจะศึกษาทบทวนการต่อสู้ ผลงานและอุดมการณ์ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา ตลอดจนการพิจารณาแก้ไขเกี่ยวกับองค์กรของพรรค
พรรคคอมมิวนิสต์กำลังจะเลือกตั้งคณะกรรมการกลางพรรคชุดใหม่ เพื่อทำหน้าที่นำการพัฒนาประเทศในวาระ 5 ปีข้างหน้า พิจารณาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมตลอด 10 ปีข้างหน้า (2554-2564) พิจารณารับรองเอารายงานการเมืองและรายงานเศรษฐกิจของคณะกรรมการกลางพรรคชุดที่ 10 เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายพรรคสู่อนาคต
คณะกรรมการกลางชุดใหม่กำลังจะเลือกกรรมการกรมการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรนำสูงสุดของพรรค เลือกตั้งองค์กรบริหารอื่นๆ และคณะกรรมการชุดต่างๆ ซึ่่งในระบบคอมมิวนิสต์ องค์กรเหล่านี้มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง หรือทบวง
หลายฝ่ายกำลังจับตาการเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งนายนงดึ๊กแหม่ง (Nong Duc Manh) ครองตำแหน่งนี้มาตั้งแต่สมัชชาครั้งที่ 9 รวม 2 สมัย แม้จะไม่มีสัญญาณบ่งชี้ใดๆ ก็ตาม
นายแหม่ง ซึ่งปัจจุบันอายุ 70 ปี ขึ้นเป็นผู้นำพรรคอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก่อนหน้านั้นเป็นประธานรัฐสภาเวียดนาม ได้รับเลือกขึ้นเป็นผู้นำในยุคที่พรรคคอมมิวนิสต์มีความไม่ลงรอยกันระหว่างฝายปฏิรูปกับฝ่ายความมั่นคงหรือกองทัพ ในช่วงทศวรรษหลังจากการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต
มีการคาดเดากันอย่างสูง ว่า ในช่วงเวลานั้นว่า นายแหม่ง "ผู้นำไร้สี" จะทำหน้าที่ขัดตาทัพเพียงครึ่งสมัย เป็นการต่อรองเพื่อให้ผู้นำจากกองทัพคือ พล.ท.เลข่าเฟียว (Le Kha Phieu) พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรค
หมายความว่า พรรคคอมมิวนิสต์อาจจะจัดประชุมใหญ่กลางสมัยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเลือกผู้นำคนใหม่ แต่ทุกอย่างก็ดำเนินมาเป็นเวลา 10 ปี และ นายแหม่งกับพรรค 2 สมัยที่ผ่านมา สามารถอ้างความสำเร็จได้ จากการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวรุดหน้า
(โปรดเลื่อนลงเพื่ออ่านต่อ)
2
3
นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งแนะนำให้จับตามองนายเหวียนฝูจ็อง (Nguyen Phu Trong) ประธานรัฐสภาวัย 66 ปี ซึ่งมีโอกาสที่จะขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของพรรค แม้จะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่า ประธานรัฐสภาจะต้องขึ้นเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคก็ตาม
การเมืองภายในพรรคคอมมิวนิสต์สามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ชาวเวียดนามกำลังมองหาผู้นำในอุดมคติที่เป็นคนกล้าตัดสินใจ สามารถนำประเทศไปสู่ความก้าวหน้า และขจัดความยากจนของประชาชนให้หมดไปอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ ฝ่ายปฏิรูปที่มีผลงานโดดเด่น
นักวิเคราะห์ยังไม่ทิ้งความเป็นไปได้โอกาสที่นายเจืองเติ่นซาง (Truong Tan Sang) จะพลิกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันอายุ 61 ปี เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงได้รับเลือกเข้าสู่คณะกรรมการกลางพรรคตั้งแต่อายุ 40 ปีในตำแหน่งเลขาธิการพรรคสาขานครโฮจิมินห์อันเป็นแหล่งกำเนิดการปฏิรูป ผลักดันทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ออกนโยบาย “การเปลี่ยนแปลงใหม่” เมื่อกว่า 20 ปีก่อน
นายซางเดินทางขึ้นเหนือเพื่อรับตำแหน่งประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจกลางของพรรคในสมัชชาที่ 9 และ เป็น "กรรมการประจำ" คณะเลขาธิการกลางพรรคในสมัชชาที่ 10 นั่นคือผู้ดูแลงานบริหารประจำวันของพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นหูเป็นตาแทนเลขาธิการใหญ่พรรคตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์อีกคนหนึ่ง กล่าวว่า ถ้าหากเงื่อนไขทางภูมิศาสตร์ ยังเป็นเงื่อนไขสำคัญในการกำหนดตัวผู้นำสูงสุดของพรรค ก็ถึงเวลาที่ “ชาวใต้” จะต้องขึ้นนำพรรคอีกครั้ง หลังจากว่างเว้นมานาน 20 ปี ตั้งแต่ยุคนายเหวียนวันลีง (Nguyen Van Linh) ฝ่ายปฏิรูปผู้โดดเด่นที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์จากนครโฮจิมินห์
ต่างไปจากนายแหม่งซึ่งเป็นชาว จ.บั๊กกัน (Bac Kan) ในภาคเหนือ และ นายจ่องชาวฮานอย นายซางเป็นชาว จ.ลองอาน (Long An) ในเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง เติบโตในตำแหน่งหน้าที่จากโฮจิมินห์ เป็นผู้แทนชาวใต้อย่างสมบูรณ์
(โปรดเลื่อนลงเพื่ออ่านต่อ)
4
5
6
อย่างไรก็ตาม กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในระดับคณะบริหารของพรรค คณะกรรมการกลางพรรคชุดที่ 10 ได้เปิดประชุมสมัยพิเศษขึ้นในวันอาทิตย์ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการพิจารณากำหนดการเลือกตั้งเพิ่มเติมกรรมการกลางพรรค (Permanent member) และ กรรมการสำรอง (Alternate member) คณะกรรมการกลางพรรค
ในการประชุมใหญ่ทุกครั้งที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จะคัดเลือกคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาดี ได้รับการอบรมบ่มเพาะทางทฤษฎีมาอย่างดี เพื่อเข้าสู่คณะกรรมการพรรค เป็นเลือดใหม่ของพรรค และ การประชุมครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
ผู้แทนจากทั่วประเทศจำนวน 1,377 คน ซึ่งเป็นตัวแทนสมาชิกพรรค 3.6 ล้านคนจาก 54,000 หน่วยพรรคทั่วประเทศ กำลังจะเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่ครั้งที่ 11 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติหมีดี่ง (My Dinh) กรุงฮานอย มีผู้แทนสื่อกว่า 700 คนลงทะเบียนเพื่อทำข่าวการรวมทั้งสื่อต่างชาติกว่า 100 คน
นายโตฮวีเหรือ (To Huy Rua) กรมการเมือง เลขาธิการกลาง และ ประธานคณะกรรมการโฆษณาและอบรมพรรค กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในวันจันทร์ที่ 10 ม.ค.ระบุว่า เวียดนามไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องมีการปกครองระบบหลายพรรค
ตลอด 80 ปีที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์ได้นำประเทศฟันฝ่าอุปสรรคมามากมาย รวมทั้งสงครามใหญ่ 3 ครั้ง พรรคฯ ทำให้เวียดนามนับวันเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ มีระบอบการเมืองที่มั่นคง และสังคมมีความมั่นคงปลอดภัย นายเหรือกล่าว