ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ปีเก่า 2553 ที่ผ่านมา เวียดนามส่งออกข้าวได้ทั้งหมด 6.88 ล้านตัน ทำรายได้ 3,230 ล้านดอลลาร์ นับเป็นสถิติใหม่สำหรับประเทศที่ต้องเลี้ยงดูประชากรถึง 87 ล้านคน ตัวเลขนี้คิดเป็นอัตราเพิ่มจากปี 2552 ถึง 15.4% ด้านปริมาณ และ 21.2% ด้านมูลค่า
หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ (Tuoi Tre) ในนครโฮจิมินห์ รายงานเรื่องนี้โดยอ้างตัวเลขของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท
แต่เตื่อยแจ๋ รายงานด้วยว่า ยอดส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูงมากนี้ ไม่ได้หมายความว่า ชาวนาและผู้ส่งออกมีกำไรมากมาย เนื่องจากปีที่ผ่านมาราคาข้าวในตลาดโลก มีความผันผวนสูงมาก
ข้าวฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นฤดูผลิตกลางปีราคาตกต่ำมาก แต่ชาวนาก็ยังต้องรีบระบายออกไป เนื่องจากไม่มียุ้งฉางสำหรับจัดเก็บอย่างเพียงพอ แต่พอราคาข้าวทะยานขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วงปลายปี ชาวนาก็ไม่มีข้าวจะขายอีกแล้ว
ผู้ส่งออกจำนวนหนึ่งยังมีตัวเลขขาดทุน เนื่องจากได้เซ็นสัญญาขายข้าวฤดูร้อนให้ลูกค้าต่างประเทศเอาไว้ที่ 300 ดอลลาร์ต่อตัน (ข้าวผสมเมล็ดหัก 25%) แต่เมื่อออกกว้านซื้อข้าวให้เพียงพอกับยอดสั่งซื้อต้องจ่ายราคาสูงขึ้น เนื่องจากราคาข้าวเปลือกในประเทศถีบตัวสูงขึ้นสะท้อนความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่งสูงขึ้น
ชาวนาเวียดนามผลิตข้าวเปลือกได้เพิ่มขึ้นทุกปี ราว 80% ของข้าวที่ส่งออก ปลูกในจังหวัดเขตที่ราบปากแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเขตอู่ข้าวใหญ่ ผลิตข้าวได้ประมาณ 40% ของทั้งประเทศ
แต่ปัญหาสำคัญก็ยังเป็นปัญหาเก่าๆ คือ ในเขตอู่ข้าวใหญ่นี้ยังมียุ้งฉางเก็บข้าวไม่เพียงพอ ทำให้ต้องเร่งระบายข้าวออกในฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งมีข้าวจากแหล่งต่างๆ ประดังออกสู่ตลาดโลก ทำให้ราคาต่ำลง
สมาคมอาหารเวียดนาม (VietFood) ซึ่งเป็นหน่วยงานกึ่งทางการ เป็นผู้กำกับดูแลการส่งออกข้าวตามนโยบายของรัฐบาล โดยนโยบายทั่วไป คือ ผู้ค้าต้องรับซื้อจากชาวนา ในอัตราที่ทางการกำหนด โดยให้ชาวนามีกำไรตั้งแต่ 30-40%
หลายปีมานี้ข้าวเวียดนามได้แย่งตลาดข้าวไทยในย่านเอเชียไปเกือบหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 2 ตลาดใหญ่สำหรับข้าว 25% จากประเทศไทยเมื่อก่อนนี้ คือ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ซึ่ง 3-4 ปีมานี้ได้หันไปซื้อข้าวเวียดนามที่มีราคาต่ำกว่า
ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ฟิลิปปินส์ได้กลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของชาวนาเวียดนาม โดยนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกปีจาก 700,000 ตัน เป็น 1.5 ล้านตัน และ 2 ล้านตันเมื่อปีที่แล้ว
ปัจจุบันเวียดนามเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศไทยเท่านั้น และปริมาณส่งออกได้ขยับเข้าใกล้ผู้ส่งออกอันดับ 1 มากขึ้นเรื่อยในช่วงไม่กี่ปีมานี้