ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- สื่อต่างๆ ในกัมพูชาพากันตีพิมพ์ข่าวที่เกี่ยวกับข้อเสนอของไทยถูกคณะกรรมการมรดกโลกปัดปฏิเสธ ไม่นำขึ้นพิจารณาในการประชุมประจำปี สื่อบางแห่งพาดหัวข่าวว่า “เป็นความปราชัยที่น่าอดสู” ของรัฐบาลไทย
ตามรายงานของสำนักข่าวตะวันตก คณะกรรมการมรดกโลกได้ปิดการประชุมที่เมืองเซวิลล์ (Seville) หรือ “เซวีนญา” ประเทศสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการนำข้อเสนอของไทย ที่ขอให้ทบทวนการพิจารณาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และ ประเทศไทยได้ขอร่วมขึ้นทะเบียนอาณาบรนิเวณปราสาทพระวิหารส่วนที่อยู่ในประเทศไทยด้วย
“ประเทศไทยปราชัยอย่างน่าอดสูที่สุดในการเรียกร้องให้ทบทวนการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลก..” หนังสือพิมพ์ดืมอัมปึล (Deum Ampil) กล่าว
ข่าวนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในสื่อออนไลนส์ กับหนังสือพิมพ์ภาษาเขมรหลายฉบับ อีกทั้งมีการออกบทวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ในช่วงวันจันทน์กับวันอังคาร (29-30 มิ.ย.) ระบุว่า คณะกรรมการมรดกโลกไม่ได้นำข้อเสนอของไทยขึ้นพิจารณา
“ผู้แทนจากประเทศไทยไม่ได้รับอนุญาตให้แถลงใดๆ ในการประชุม” ดืมอัมปึล กล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พยายามอธิบายให้เห็นว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ และยังจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในระยะเวลาข้างหน้า
คณะผู้แทนของไทยได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ระบุว่า คณะกรรมการมรดกโลกไม่มีข้อมูลเพียงพอในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และ ไม่ได้รับฟังข้อมูลจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับความจำเป็นในการขอร่วมขึ้นทะเบียน
ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนยอดสูง ริมหน้าผาชันของเทือกเขาดงรัก และอยู่ในเขตสันปันน้ำของไทยอันเป็นเส้นเขตแดนตามกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ศาลระหว่างประเทศในกรุงเฮกได้ตัดสินยกให้เป็นของกัมพูชา ในปี 2506 โดยไม่ได้มีการตัดสินเกี่ยวกับอาณาบริเวณโดยรอบ ซึ่งอยู่ในเขตสันปันน้ำของไทยเช่นกัน
รัฐบาลไทยได้โต้แย้ง ทำบันทึกถึงศาลโลก ยืนยันในสิทธิเหนือดินแดนรอบๆ ปราสาทพระวิหารมาตั้งแต่นั้น
ปัจจุบันอาณาบริเวณบางส่วนของปราสาทพระวิหารอยู่ในอาณาเขตของไทย นอก “พื้นที่พิพาท” รวมทั้งบริเวณที่เรียกว่า “ผามออีแดง” ด้วย นอกจากนั้น ทางขึ้นที่สะดวกที่สุดไปยังปราสาท ก็ต้องขึ้นจากฝั่งไทย รัฐบาลไทยได้พยายามขอร่วมขึ้นทะเบียนอาณาบริเวณเหล่านี้เป็นมรดกโลกด้วย เพื่อพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน
ที่ผ่านมา ทางการกัมพูชาได้เบี่ยงเบนประเด็นให้เห็นว่า ประเทศไทยกำลังขอร่วมขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เพื่อร่วมเป็นเจ้าของ ทั้งๆ ที่ศาลโลกได้ยกให้เป็นของกัมพูชาแล้วตั้งแต่เกือบ 50 ปีก่อน “พร้อมกับพื้นที่โดยรอบ”