ฮานอย (เอเอฟพี-ASTVผู้จัดการรายวัน)-- รัฐบาลเวียดนามได้ขอให้องค์กรนิติบัญญัติแห่งชาติปรับเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2553 ให้เหลือเพียง 5% จาก 6.5% ก่อนหน้านี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก
รองนายกรัฐมานตรีคนที่ 1 นายเหวียนซิงหุ่ง (Nguyen Sinh Hung) เปิดเผยเรื่องนี้ในกรุงฮานอย เมื่อวันพุธ (20 พ.ค.) อันเป็นวันเปิดสมัยสามัญต้นปีของรัฐสภาเวียดนาม (National Assembly) ซึ่งจะดำเนินไปตลอดเวลาประมาณ 1 เดือนข้างหน้า
รัฐบาลจำเป็นต้องขอปรับเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ "เพื่อจัดน้ำหนักใหม่เพื่อการพัฒนาที่ดีกว่าและยั่งยืนยิ่งกว่าในปีข้างหน้า" นายหุ่งกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภายึดการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้นเป็นภาระสำคัญเร่งด่วนอันดับแรก
เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัว 6.18% เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นการเติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบเกือบหนึ่งทศวรรษ ขณะที่ตัวเลขของทางการระบุว่าไตรมาสแรกของปีนี้ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีที่ใช้บ่งชี้การขยายตัวของเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้นเพียง 3.1% เท่านั้น
แต่ถึงอย่างไรเวียดนามเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ ทั่วทั้งเอเชียที่เศรษฐกิจยังขยายตัวต่อไปได้ในไตรมาสแรกของปี ท่ามกลางวิกฤติอย่างรอบด้านทั่วโลก
รอง นรม.เวียดนามที่กำกับดูแลด้านเศรษฐกิจกล่าวยอมรับว่า วิกฤตการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจโลกทำให้ยากในการพยากรณ์และยังส่งผลกระทบต่อเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
"เรายังมีความยุ่งยากในหลายด้าน" นายหุ่งกล่าวรายงานต่อรัฐสภา แต่ก็กล่าวด้วยว่าเวียดนามได้เห็นสัญญาณหลายอย่างที่บ่งบอกว่าช่วงเลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
วิกฤติเศรษฐกิจระดับโลก ทำให้การส่งออกของเวียดนามลดลง รายได้จากการท่องเที่ยวตกต่ำลงอย่างมาก เช่นเดียวกันกับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment)
ธนาคารโลกได้ประมาณว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะขยายตัวไปได้เพียงประมาณ 5.5% ในปีนี้ ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ (International Monetary Fund) มองในแง่ลบยิ่งกว่า พยากรณ์ตัวเลขไว้เพียง 3.5%
"เวียดนามยังต้องเผชิญกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจอันลำบากในระดับโลกต่อไป" นายเบเนดิค บิงแฮม (Benedict Bingham) ผู้แทนไอเอ็มเอฟประจำเวียดนามกล่าว
นายหุ่งรายงานต่อรัฐสภาว่า เศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้รายได้ของรัฐบาลลดต่ำลง ในขณะที่
ความต้องการด้านการใช้จ่ายกลับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเรียกร้องต้องการในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงทางสังคม ทั้งเรียกร้องให้รัฐสภาอนุมัติผ่านแผนงบประมาณขาดดุล 8% ของรัฐบาล
ช่วงสามสัปดาห์มานี้เวียดนามต้องเผชิญกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่ธนาคารแห่งรัฐ (State Bank of Vietnam) ซึ่งแม้จะปฏิเสธไม่มีนโยบายลดค่าเงินด่ง แต่ก็แสดงท่าทีให้เห็นว่าจะปล่อยให้ค่าเงินอ่อนตัวต่อไป โดยคาดว่าอาจจะลงถึง 5-6% ในสิ้นปีนี้
ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนทางการอยู่ที่ 17,780 ด่งต่อดอลลาร์ อ่อนลงจากช่วงต้นปีราว 1.7% แต่อัตราในตลาดมืดช่วงสัปดาห์กลางเดือน พ.ค.เคลื่อนไหวอยู่ระดับ 18,250 ด่ง นายธนาคารหลายคนกล่าวว่าในสิ้นปีนี้อาจจะได้เห็นฟอเร็กซ์วูบลงสู่ระดับ 18,800 หรืออ่อนตัวลง 5.7% จากปัจจุบัน
แต่ผู้ค้าในตลาดมืดมองแนวโน้มเป็นลบยิ่งกว่านั้น หลายคนเชื่อว่าถึงสิ้นปีอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะอ่อนลงเป็น 19,000-19,250 ด่งต่อดอลลาร์.