ASTVผู้จัดการรายวัน — สามประเทศเวียดนาม ลาว และไทย ได้ตกลงร่วมออกใบอนุญาตให้แก่รถยนต์ 1,500 คันแรก ที่จะใช้ขนส่งสินค้ากับผู้โดยสารข้ามแดนระหว่างทั้งสามประเทศ บนถนนสายระเบียงเศรษฐกิจตะวันออกตะวันตก (East-West Economic Corridor) ซึ่งเจ้าหน้าที่กล่าวว่าจะช่วยเพิ่มขยายการค้า การลงทุนกับกิจกรรมการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมดนี้เป็นไปตามความตกลงภายใต้กรอบกลุ่มความร่วมมืออนุภูมิภาคแม่น้ำโขง หรือ GMS (Greater Mekong Sub-Region) เจ้าหน้าที่จากสามประเทศได้ประชุมหารือเรื่องนี้กันที่เมืองดาลัท (Dalat) เมืองเอกของ จ.เลิมด่ง (Lam Dong) ในเขตที่ราบสูงภาคกลาง เวียดนาม ระหว่างวันที่ 25-26 ก.พ.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นรายงานของสื่อทางการเวียดนาม
ตามความตกลงภายใต้กรอบการขนส่งข้ามแดนของ GMS นั้น แต่ละประเทศได้อนุญาตให้รถยนต์ฝ่ายละ 500 คัน สำหรับใช้ในการขนส่งตามถนน EWEC ในระยะแรกนี้ หนังสือพิมพ์เวียดนามนิวส์ กล่าว
นับเป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งในความพยายามของสมาชิก 6 ประเทศแห่งอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงอันได้แก่ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา พม่า และ จีน ในการหาทางขนส่งสินค้ากับผู้โดยสารให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และผ่านขั้นตอนทางราชการให้น้อยที่สุด
การประชุมตกลงเรื่องนี้มีขึ้นไม่กี่วัน ก่อนผู้นำกลุ่มสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สมาชิก GMS จำนวน 5 ประเทศร่วมเป็นสมาชิกอยู่ด้วย จะออกคำแถลงเรียกร้องให้บรรดาภาคีอาเซียนทั้ง 10 ชาติต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก
จีนซึ่งเป็นสมาชิกหนึ่งของ GMS เป็นประเทศหุ้นส่วนสำคัญของอาเซียน ในกรอบที่เรียกว่า “อาเซียน+3” เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและเกาหลี
นอกจากนั้น ความตกลงด้านการขนส่งบนถนน EWEC ก็ยังมีขึ้นในขณะที่นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เหวียนเติ๋นยวุ๋ง (Nguyen Tan Dung) กับ นายกรัฐมนตรีของไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้พบปะเจรจาทวิภาคีและตกลงที่จะกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ
ถนนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ทีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนุภูมิภาค ในฐานะที่เป็นทางบกที่สั้นที่สุดในการขนส่งสินค้ากับผู้โดยสารจากเวียดนามไปยังลาวและไทย ขณะที่ไทยได้ใช้ประโยชน์ขนส่งสินค้าเข้าลาวกับเวียดนาม หรือเพื่อไปออกสู่ท่าเรือในทะเลจีนใต้
ปัจจุบันชายฝั่งทะเลภาคกลางของเวียดนามมีท่าเรือขนาดใหญ่ 2 แห่งที่สามารถให้บริการสินค้าจากไทยที่มุ่งไปยังปลายทางอื่นๆ ในเอเชีย ตะวันออก และแปซิฟิก คือ ท่าเรือเตี่ยนซา (Tien Sa) ในนครด่าหนังกับท่าเรือหวุงอาง (Vung Ang) ใน จ.ห่าตี๋ง (Ha Tinh)
เมื่อเปิดใช้การตลอดเส้นทาง ถนนสายระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก จะมีความยาวรวม 1,450 กิโลเมตร แบ่งเป็นหลายช่วง คือ มะละแหม่ง (Mawlamyine) เมียววดี (Myawaddy) ในพม่า ช่วงแม่สอด-พิษณุโลก-ขอนแก่น-กาฬสินธุ์-มุกดาหาร ในประเทศไทย กับสะหวันนะเขต-แดนสะหวัน ในลาว และ ระหว่างลาวบ๋าว (Lao Bao) เหว (Hue)-ด่าหนัง (Danang) ในเวียดนาม
ปัจจุบันเหลือเพียงช่วงแม่มะละแหม่ง-เมียววดี เท่านั้นที่ยังไม่เปิดใช้รวมระยะทางเพียง 100 กม.เศษ
ถนนระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก ยังตัดผ่านถนนระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) อีกหลายช่วง ไม่ว่าจะเป็น ย่างกุ้ง-ทะวาย (Dawei) ในพม่า เชียงใหม่-กรุงเทพฯ หนองคาย-กรุงเทพฯ ทางหลวงเลข 13 ในลาว กับทางหลวงสาย A1 ในเวียดนาม
โครงการถนนระเบียงเศรษฐกิจได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือเอดีบี เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้า การลงทุน ระหว่างลาว พม่า ไทย และเวียดนาม ลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง ขนส่งผู้โดยสารอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สนับสนุนการพัฒนาเขตชายแดนและเขตชนบทที่ยากจน และส่งเสริมการท่องเทียวในอนุภูมิภาค
สำหรับจีนได้มอบให้รัฐบาลมณฑลหยุนหนันเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม GMS ในนามของจีนทั้งประเทศ
ก่อนหน้านี้ ไทย ลาวและเวียดนาม รวมทั้งไทยและกัมพูชา ได้แยกกันลงนามในบันทึกว่าด้วยสิทธิ์ในการขนส่งสินค้าโดยอนุญาตให้รถบรรทุกของแต่ละฝ่ายเข้าไปให้บริการในอีกประเทศหนึ่งได้ บันทึกดังกล่าวนี้ผนวกเข้าในสัญญาการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Transport Agreement) ระหว่างประเทศสมาชิก GMS ต่างๆ เมื่อหลายปีก่อน
ในเดือน มี.ค.2551 ผู้นำ GMS ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งที่ 3 ในนครเวียวงจันทน์ของลาว และมีความตกลงที่จะเสริมขยายความสัมพันธ์ด่านการค้าและการลงทุน เร่งเร้าให้มีการนำความตกลงเกี่ยวกับการขนส่งสินค้ากับผู้โดยสารข้ามพรมแดนไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์โดยเร็ว
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากนโยบายในระดับรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังเป็นความเรียกร้องต้องการของภาคเอกชนประเทศต่างๆ ที่อยากจะให้ CBTA ปรากฏเป็นจริงโดยเร็ว สภาธุรกิจอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง (GMS Business Forum) ได้เปิดประชุมคู่ขนานกับการประชุมผู้นำประเทศต่างๆ ในเวียงจันทน์เมื่อปีที่แล้ว ได้ผลักดันภาครัฐบาลในเรื่องนี้
การประชุมในเวียงจันทน์มีผู้แทนบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่เข้าร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก
บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สนใจเข้าลงทุนในอนุภูมิภาคนี้ยังรวมทั้งกลุ่มอิโตชู (Itoshu) ซึ่งเป็นบริษัทการค้าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซัมซุงจากเกาหลี บริษัทบริการขนส่งพัสดุด่วน UPS ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ กับกลุ่มโรงแรมบันยันทรี (Banyan Tree) และ ไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นผู้ผลิตซอฟท์แวร์ใหญ่ที่สุดของโลก
ภาคเอกชนยังได้ผลักดันให้รัฐบาล GMS เร่งดำเนินการให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาค ผ่านการตรวจและผ่านขบวนการตรวจคนเข้าเมืองเพียงครั้งเดียว หรือ SSI (Single Stop Inspection)
อย่างไรก็ตาม สื่อของทางการเวียดนามไม่ได้ให้รายละเอียดว่า การประชุมที่ดาลัตครั้งนี้มีการขึ้นทะเบียนรถยนต์ประเภทใดบ้าง และแยกเป็นจำนวนประเภทละเท่าไร