ASTVผู้จัดการรายวัน-- เวลาผ่านไป 30 ปี นับตั้งแต่เริ่มยุคการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกัมพูชาจนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เหยื่อระบอบเขมรแดงที่ยังมีชีวิตอยู่กำลังจะได้เห็นการไต่สวนหาผู้กระทำความผิด หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการมีผู้เสียชีวิตกว่า 1 ล้านคนในช่วงเวลาเพียงสามปีเศษจากต้นปี 2518 ถึงต้นปี 2522
ชาวกัมพูชาเกือบทุกครอบครัวได้สูญเสียสมาชิกในช่วงปีดังกล่าว รวมทั้งสมเด็จพระนโรดมสีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชาที่ทรงสูญเสียพระราชโอรสพระราชธิดาตลอดจนพระญาติไปจำนวน 7 พระองค์ แต่นั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่เคยมีผู้นำเขมรแดงคนใดถูกนำตัวขึ้นไต่สวนในศาล จนกระทั่งในวันอังคาร (17 ก.พ.) ที่จะถึงนี้
คณะตุลาการระหว่างประเทศที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ กำลังจะเปิดไต่สวนนายกางกึ๊กเอียว (Kaing Keuk Eav) หรือ "สหายดุจ" (Duch) อดีตผู้บัญชาการเรือนจำเอส-21 (S-21) ที่ดัดแปลงโรงเรียนมัธยมทั้งหลังในพนมเปญ ให้กลายเป็นที่คุมขัง ซึ่งรู้จักกันดีกว่าในชื่อ "เรือนจำตวลสะแลง"
ปัจจุบันอายุ 66 ปี เมื่อครั้งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำหนุ่ม เขาต้องรับผิดชอบต่อการทรมานจับกุมคุมขังบุคคลที่รัฐบาลเขมรแดงเรียกว่าฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองนับพันๆ รวมทั้งผู้รอดชีวิตมาจนถึงปัจจุบันจำนวนหนึ่ง ซึ่งถูกปลดปล่อยจากพันธนาการเมื่อทหารเวียดนามยาตราทัพเข้าถึงพนมเปญในวันที่ 7 ม.ค.2522
นายจุมเมย (Chum Mey) ผู้รอดชีวิตคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันอายุ 60 ปี กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ที่เรือนจำตวลสะแลงว่า เขาเองอยากจะถามสหายดุจว่าเข่นฆ่าชาวเขมรด้วยกันได้อย่างไร และทำไมพวกนั้นจึงทรมานเขา
นายเมยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้รอดชีวิตจากตวลสะแลงจำนวน 14 คน ที่ไปร่วมเป็นพยานการไต่สวนครั้งนี้กล่าวว่า ที่นั่นเป็นสถานที่กักกันและทรมานนักโทษ ก่อนจะถูกนำตัวไปทุบด้วยท่อนไม้จนเสียชีวิต ณ สถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นอนุสรณ์สถานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เจืองแอ็ก (Choeung Ek) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงพนมเปญออกไปราว 40 กิโลเมตร
สถานที่แห่งนั้นเป็นที่มาของคำว่า "ทุ่งสังหาร" (Killing Field)
"อะไรเป็นแรงจูงใจให้พวกเขาก่ออาชญากรรมที่โหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้" นายเมยกล่าวขึ้นมาระหว่างเดินทางไปยังตวลสะแลง ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เป็นประจักษ์พยานความโหดร้ายของระบอบคอมมิวนิสต์เขมรแดง ที่นิยมลัทธิเหมาเจ๋อตง
เมื่อ "ทหารชุดดำ" จากเขตชนบทยาตราเข้าสู่พนมเปญในวันที่ 17 เม.ย.2518 ชาวเมืองหลวงได้ให้การต้อนรับ "ทหารป่า" พวกนั้นด้วยการสวมกอด หวังว่านั่นจะเป็นการยุติสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อยาวนามาข้ามทศวรรษ โดยไม่ทราบว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า
นักประวัติศาสตร์หลายคนกล่าวว่า สงครามในกัมพูชาเป็นผลพวงจากสงครามที่คอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือต่อสู่กับกองทัพสหรัฐฯ ในเวียดนาม แต่สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาหรือเขมรแดงในอดีต มันเป็นสงครามปลดปล่อยประเทศชาติเพื่อก่อตั้งระบอบใหม่ สถาปนาสังคมใหม่ที่ปราศจากการกดขี่ขูดรีด
แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากยึดครองกรุงพนมเปญได้เบ็ดเสร็จ สหายโปลโป้ท (Pol Pot) หรือ "พลพต" ซึ่งมีชื่อจริงว่า "สโลตสาร" (Slot Sar) ก็ได้เริ่มนำประเทศเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า "ปีแห่งความมืดมิด" (Year of Zero) ที่ภายนอกรับรู้ความเป็นไปในประเทศนี้น้อยมาก
เขมรแดงได้เริ่มขับไล่ผู้คนออกจากพนมเปญและเมืองใหญ่ทั่วไปลงสู่การผลิต โดยเห็นว่าในเมืองไม่มีอาหารเหลืออยู่และไม่สามารถพึ่งพาการช่วยเหลือจากภายนอกได้ ทุกคนจะต้องออกไปผลิตอาหาร
ตัวเลขบางสำนักกล่าวว่าประชากราวเมืองหลวงที่มีอยู่ราว 2 ล้านคนในปีนั้น ในเวลาเพียง 3 วันเหลืออยู่เพียงประมาณ 25,000 คน
รัฐบาลใหม่ได้ประกาศห้ามใช้เงินอันเป็นสัญลักษณ์ระบอบทุนนิยม พลพรรคเขมรแดงระเบิดที่ทำการธนาคารแห่งชาติทิ้ง มีการนำรถยนต์ไปกองพะเนินไว้ที่ท่าอากาศยาน เนื่องจากนั่นเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญก้าวหน้า
จากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิต เขมรแดงจะสังหารทุกคนที่สวมแว่นสายตาหรือพูดภาษาต่างประเทศได้ รวมทั้งพวกที่มืออันนิ่มบางก็ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก "ปัญญาชน" และ "พวกชนชั้นกลาง" ซึ่งเป็นศัตรูกับการปฏิวัติของชาวนา (Peasant Revolution) ของโปลโป้ท
สำหรับนายเมยซึ่งในขณะนั้นเป็นช่างซ่อมรถยนต์ ถูกกล่าวว่าเป็นสายลับให้แก่ซีไอเอ หรือ องค์การประมวลข่าวกลางสหรัฐฯ (Central Intelligence Agency) เขาถูกจับยัดคุกแคบๆ ที่ตวลสะแลง ถูกพันธนาการตีตรวน และถูกทรมานแทบจะรายวัน เพื่อให้รับสารภาพ
"ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเฆี่ยนผมถึง 200 ครั้งด้วยสายไฟเพราะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของโซ่ (ที่มั่นขา)" เมยหวนรำลึกความหลังด้วยน้ำตานองใบหน้า
"พวกเขาฆ่าภรรยากับลูกชายของผม พวกนั้นฆ่ากระทั่งทารกอายุเพียงไม่เดือน" เหยื่อรอดชีวิตรายเดียวกันกล่าว
เป็นเวลาร่วม 6 ปีนับตั้งแต่สหประชาชาติได้ตกลงจัดตั้งคณะตุลาการระหว่างประเทศขึ้นไต่สวนอดีตผู้นำเขมรแดง กลุ่มผู้ทำหน้าที่อัยการกล่าวว่า สามารถจัดเตรียมพยานเอกสาร พยานบุคคล ตลอดจนพยานแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งภาพถ่ายได้จำนวนมาก
นายวิลเลียม สมิธ (William Smith) อัยการคนหนึ่งกล่าวว่า กรณี S-21 นี้ชัดเจน และตัดสินความผิดได้ไม่ยาก
โปลโป้ทผู้ที่ควรจะถูกลงโทษหนักที่สุดได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2541 ในเขตป่า ใกล้ชายแดนไทย หลังจากผู้นำแตกกันเป็นหลายฝ่ายและถูกยึดอำนาจโดยชิตเจือน (Chhit Choeun) หรือ “ตาม๊อก” (Ta Mok) ผู้บัญชาการทหารที่ไม่ยอมจำนน
ม๊อกตาซึ่งถูกตั้งฉายาให้เป็น “คนฆ่าสัตว์” (Butcher) ถูกทางการจับกุมในปี 2543 และถูกคุมขังมาตลอด จนกระทั่งเสียชีวิตลงในปี 2549 ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของกรุงพนมเปญ
นอกจากสหายดุจแล้ว อดีตผู้นำเขมรแดงที่ยังมีชีวิตอยู่และจะถูกไต่สวนต่อไป ได้แก่ นายเคียวสมพร (Khieu Samphan) นายเอียงซารี (Ieng Sary) นายนวลเจีย (Nuol Chea) กับ นางเอียงธิริต (Ieng Thirith).