เอเอฟพี - บารัค โอบามา ผ่านการทำงานครบ 100 ชั่วโมงแรก ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 44 ด้วยการประกาศยกเลิกนโยบายที่เป็นข่าวดังเกรียวกราว ทั้งด้านภายในประเทศ และด้านความมั่นคงแห่งชาติ นับเป็นการปิดฉากอำลายุคสมัยของบุช ไปได้อย่างน่าตื่นใจ
“คิดว่ายิ่งทีก็ยิ่งดีนะ” ศาสตราจารย์ ดังเต สกาลา แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชียร์ ให้ความเห็น “เขา (โอบามา) แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่าตัดขาดจากรัฐบาลชุดก่อน”
ทว่า วิธีการอันห้าวหาญเหล่านี้ของ โอบามา ก็ไม่สามารถที่จะปิดบังปัญหาหนักหน่วงทั้งหลาย รวมทั้งภัยที่มองไม่เห็น ซึ่งเขาจะต้องเผชิญ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดตัว และปัญหาความมั่นคงที่คุกรุ่นอยู่ขณะนี้
ทีมงานพรรคเดโมแครตของโอบามา ดูจะประสบความสำเร็จในการช่วยกันวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า โอบามา จะเป็นประธานาธิบดีที่ลงมือทำงานแก้ปัญหาของประเทศได้ตั้งแต่วันแรกจริงๆ
ผลงานของโอบามา ในรอบ 100 ชั่วโมงแรก ของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี มีอาทิ การลงนามในคำสั่งปิดค่ายกักกันนักโทษต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้าย ณ อ่าวกวนตานาโม ซึ่งทำให้ชื่อเสียงในแง่สิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯเสื่อมเสียไปทั่วโลก อีกทั้งโอบามายังได้มีคำสั่งห้ามจัดตั้งคุกลับของซีไอเอนอกสหรัฐฯ และห้ามทรมานนักโทษในระหว่างการสอบสวนข้อด้วย
นอกจากนั้น โอบามา ยังได้แต่งตั้งผู้แทนพิเศษทางการทูตสองคน คือ จอร์จ มิตเชล และ ริชาร์ด โฮลบรูค เป็นผู้ดูแลตะวันออกกลาง และอัฟกานิสถาน กับ ปากีสถาน ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างแข็งขันในการแก้ไขปัญหาในภูมิภาคทั้งสอง อย่างที่แทบไม่เคยปรากฏมาก่อนในยุคของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช
เมื่อวันศุกร์ (23) เขายังได้ยุตินโยบายสำคัญทางด้านสำคัญของคณะรัฐบาลบุช โดยสั่งยุติการห้ามไม่ให้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ แก่พวกกลุ่มวางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมาตรการทำแท้ง
ส่วนปัญหาเศรษฐกิจที่ถือเป็นปัญหาหนักหนาสาหัสที่สุดนั้น โอบามา ได้สั่งการให้ทีมงานเศรษฐกิจจัดการบรรยายสรุปสถานการณ์ประจำวัน เพื่อประเมินสภาพความรุนแรงของปัญหาทั้งในสหรัฐฯและทั่วโลก
ขณะเดียวกัน เขายังพยายามโน้มน้าวให้คองเกรสเร่งดำเนินการ เพื่ออนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 800,000 ล้านดอลลาร์โดยเร็ว โดยที่ยอมรับฟังความเห็นของสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกัน ที่บ่นว่า ถูกฝ่ายเดโมแครตใช้ฐานะความเป็นเสียงข้างมาก กีดกันจนไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็น
แม้ว่า โอบามา จะเริ่มดำเนินการตามคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างการหาเสียงแล้ว แต่ก็ใช่ว่าทุกเรื่องจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ
เช่น กรณีปิดค่ายกักกันนักโทษในอ่าวกวนตานาโม ยังจะมีปัญหาตามมา นั่นคือ จะทำอย่างไรกับพวกนักโทษอันตราย ซึ่งไม่สามารถปล่อยตัวออกมาได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายเนื่องจากขาดหลักฐานชัดเจน
ส่วนการจัดทีมเจ้าหน้าที่ทูตเข้าไปในดูแลภูมิภาคตะวันออกลาง และอัฟกานิสถาน กับปากีสถาน นั้น ก็ดูเหมือนมีความหวังไม่มากนักที่จะแก้ปัญหาได้
หรือแม้แต่แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลของโอบามา ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าสหรัฐฯ จะพลิกฟื้นขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
มิหนำซ้ำ ในวันศุกร์ (23) ที่ผ่านมา ยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์อย่างไมโครซอฟท์ ก็ได้ประกาศปลดพนักงานมากถึง 5,000 คน และผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ที่เป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐฯ คือ ฮาร์เลย์-เดวิดสัน ปลดพนักงาน 1,100 คนเช่นกัน เนื่องจากยอดขายตกต่ำ ขณะที่สหรัฐฯ คาดว่า อัตราการว่างงานจะแตะระดับสูงที่สุดในรอบ 26 ปี ส่วนยอดการสร้างบ้านตกลงมาอยู่ที่ระดับต่ำที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ
เมื่อพิจารณาแนวโน้มข่าวร้ายเหล่านี้ โอบามา จึงไม่มีทางเลือกอื่นในทางการเมือง นอกจากตอกย้ำถึงความหนักหนาสาหัสของวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เขาก็รู้ด้วยว่าการฟื้นความเชื่อมั่นของสหรัฐฯ เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กันด้วย ซึ่งตัวเขาเองจะเป็นความหวังเดียวในห้วงเวลาอันน่าหวาดหวั่นนี้
ทั้งนี้ โอบามา ได้กล่าวกับชาวอเมริกันผ่านรายการวิทยุและอินเทอร์เน็ตในวันเสาร์ (25) ว่า “ถ้าหากเราพร้อมใจกันในฐานะพลเมือง ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้วเริ่มลงมือกอบกู้อเมริกา ผมเชื่อมั่นว่า เราจะพ้นจากภาวะแห่งความยากลำบากนี้ไปได้และผงาดขึ้นมาแข็งแกร่งและมั่งคั่งยิ่งกว่าเดิมได้”
อนึ่ง ผลสำรวจความเห็นหลายสำนัก ชี้ว่า ชาวอเมริกันยังเชื่อมั่นในตัวประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของประเทศ และนโยบายมุ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงของเขา เช่น ผลสำรวจของยูเอสเอทูเดย์ ระบุว่าชาวอเมริกันสามในสี่คิดว่าสหรัฐฯ จะดีขึ้นกว่าเดิมในสี่ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่เขาจะลงสมัครรับเลือกตั้งสมัยที่สอง
กระนั้นก็ตาม ผู้คนก็ย่อมต้องการเห็นผลกลับคืนมาบ้างจากการทุ่มเทความหวังอย่างมากกับโอบามา อย่างน้อยเขาก็ควรทำให้ชาวอเมริกันเห็นว่ามีอะไรดีขึ้นบ้างในแง่การดำเนินชีวิต ในสมุดบัญชีธนาคาร ตลอดจนกองทุนบำเหน็จบำนาญต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับตลาดหุ้น