xs
xsm
sm
md
lg

แหนมเนืองเฟะ!! เงินเฟ้อ มิ.ย.26.8%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<CENTER><FONT color=#FF0000>หญิงชาวเวียดนามขณะกำลังมองดูแผ่นป้ายที่เขียนว่า อัตราดอกเบี้ยสูงสุด 17.8% ต่อปี ที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย เมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2551 ทั้งนี้ ตัวเลขของทางการระบุว่าเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.สูงถึง 26.8% แต่หลายฝ่ายยังคงมองว่าไม่ร้ายแรงเท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว (ภาพ : เอเอฟพี).</CENTER>

ผู้จัดการรายวัน -- สถานการณ์เศรษฐกิจในเวียดนามดูย่ำแย่ลงไปอีก ตัวเลขของทางการ ระบุว่า เงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.สูงถึง 26.8% แม้ว่าหลายฝ่าย รวมทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จะมองว่าสถานการณ์ในเวียดนามไม่ร้ายแรงเท่ากับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อกว่า 10 ปีก่อนก็ตาม

ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI (Consumer Price Index) ซึ่งใช้บ่งชี้อัตราเฟ้อของเงิน เพิ่มขึ้น 2.1% จากเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราเพิ่มจะลดลง 3.9% จากเดือนก่อน ราคาสินค้าประเภทอาหารยังคงเป็นแรงสำคัญหนุน ทั้งนี้เป็นตัวเลขของสำนักงานใหญ่สถิติ (General Statistics Office)

เวียดนามซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวถึง 8.5% เมื่อปีที่แล้วกำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง อัตราเฟ้อปีต่อปีในเดือน พ.ค.พุ่งขึ้น 25.3% ตัวเลข GSO ระบุว่า อัตราเฟ้อในรอบ 6 เดือนของปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 18.4% เทียบกับช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว

ตามตัวเลขที่เผยแพร่ในสัปดาห์นี้ราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มขยายตัว 45.6% ปีต่อปี อาหารรายการสำคัญรวมทั้งข้าวและธัญพืชสูงขึ้น 74.3%

ราคาบ้านและหมวดวัสดุก่อสร้างพุ่งขึ้น 23.7% เสื้อผ้ากับรองเท้าก็ยังเพิ่มขึ้น 9.9% หมวดยาและเวชภัณฑ์เพื่อสุขภาพสูงขึ้น 8.1% เครื่องไฟฟ้าและเครื่องใช้ในบ้านสูงขึ้น 8.4%

อย่างไรก็ตาม นางซเวืองทูเฮื่อง (Duong Thu Huong) เลขาธิการสมาคมธนาคารเวียดนามกล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคอื่นๆ กำลังส่อแววไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจได้หยุดชะงักไปพักหนึ่ง
<CENTER><FONT color=#FF0000>นายกรัฐมนตรีเวีนยดนามเหวียนเติ๋นยวุ๋งพบหารือข้อราชการกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์ ดับเบิ้ลยู บุช ที่ทำเนียบขาววันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผู้นำเวียดนามเปิดเผยระหว่างเยือนสหรัฐฯ ว่าเงินเฟ้อเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% จากเดือน พ.ค. ลดลงจากอัตราจาก 3.9% ระหว่างเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว แต่อัตราเฟ้อปีต่อปีในเดือน มิ.ย.นี้พุ่งขึ้นสูงถึง 26.8% และ (ภาพ: AFP). </CENTER>
นักการธนาคารผู้นี้ กล่าวกับนิตยสารข่าวเศรษฐกิจเทยบ๋าวกิงเตเหวียดนาม (Thoi Bao Kinh Te Vietnam) หรือ “เวียดนามอีโคโนมิคไทมส์” ชี้ ให้เห็นปัจจัย 3 ประการอันเป็นข้อบ่งชี้สำคัญในขณะนี้

ตัวเลขขาดดุลการค้าของเวียดนามได้พุ่งขึ้นสูงถึง 3 เท่าตัวใน 6 เดือนแรกของปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมากกว่าตัวเลขขาดดุลทั้งปี 12,000 ล้านดอลลาร์

ตามตัวเลขของ GSO ที่เผยแพร่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ตัวเลขขาดดุลระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.จะเพิ่มขึ้นเป็น 14,800 ล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขคาดการของกระทรวงวางแผนและการลงทุนสูงถึง 16,900 ล้านดอลลาร์

ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เวียดนามนำเข้าสินค้าเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 44,500 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 60.3% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น 31.8% เป็น 29,700 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้เป็นตัวเลขของ GSO
<CENTER><FONT color=#FF0000>ภาพแม่ค้าขณะใส่ข้าวลงในกระสอบเพื่อนำออกขายในตลาดแห่งหนึ่งในนครโฮจิมินห์ เมื่อวันที่ 6 มี.ค.2551จากตัวเลขของสำนักงานใหญ่สถิติ (General Statistics Office) ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงนี้ส่งผลให้ราคาอาหารรายการสำคัญรวมทั้งข้าวและธัญพืชสูงขึ้นถึง 74.3% (ภาพ : เอเอฟพี).</CENTER>
เดือนนี้ทางการเวียดนามได้ห้ามนำเข้าทองคำทุกชนิด เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนปั่นป่วนในช่วง 2-3 เดือนมานี้ เนื่องจากผู้คนหันไปลงทุนซื้อทองเข้าเก็บ เป็นปัจจัยผลักดันอัตราเงินเฟ้อ

เวียดนามได้ปรับตัวเลขเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจลงเหลือ 7% ในปีนี้ อันเป็นมาตรการหนึ่งในการรับมือกับเงินเฟ้อ

แม้ว่าเศรษฐกิจเวียดนามจะชะลอตัวลง แต่เจ้าหน้าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันพฤหัสบดี (26 มิ.ย.) ระบุว่า โอกาสที่จะส่งผลกระทบลุกลามใหญ่โตสู่ภายนอกมีน้อยมาก

นายเจอรัลด์ ชิฟ (Jerald Schiff) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่เริ่มจะ “โอเวอร์ฮีต” หรือ “ร้อนจัด” เมื่อปีที่แล้ว หลังจากมีการปล่อยกู้มากเกินไป

“กรณีของเวียดนามเป็นตัวอย่างอันดีที่แสดงให้เห็นอันตรายจากการก้าวล้ำเส้นในนโยบาย..” นายชิฟ กล่าวหลังจากเสร็จการแถลงข่าวในวันเดียวกัน

ด้วยฐานะทางการเงินที่ต่ำ ปริมาณเงินตราต่างประเทศสำรองมีน้อย ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นห่วงว่าปัญหาในเวียดนามจะลุกลามเป็นวิกฤติทางการเงิน แต่เจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟกล่าวว่า โอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นมีน้อย ซึ่งต่างไปจากกรณีที่เกิดในประเทศไทยเมื่อกว่า 10 ปีก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น