นักวิเคราะห์ฟันธง “พรรคฮุนเซน” นอนมา

ผู้จัดการออนไลน์ -- เหลือเวลาอีกเกือบ 6 สัปดาห์ก่อนจะถึงการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชา แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างกล่าวว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร

สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้อยู่ในตำแหน่งมาเป็นเวลายาวนานถึง 23 ปี และทำการกวาดล้างคู่แข่งทางการเมืองอย่างหนัก และนักวิเคราะห์ได้กล่าวถึงคู่แข่งทางการเมืองของฮุนเซนว่า ไม่มีใครมีหวังที่จะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้

กัมพูชามีพรรคการเมืองทั้งสิ้น 57 พรรค แต่มีเพียง 11 พรรคเท่านั้น ที่ส่งสมัครรับเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ในการเลือกตั้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว มีพรรคที่ลงรับสมัครไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด โดยพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian Peolple's Party) หรือ CPP ของสมเด็จฯ ฮุนเซน ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด

“พรรคที่จะได้รับชัยชนะนั้นต้องเป็นพรรค CPP อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะไม่ต้องพิจารณาจากการข่มขู่ การบังคับกดดัน หรือการซื้อเสียง พรรค CPP ก็เป็นพรรคที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนทั่วไปอยู่แล้ว” นางเจียวรรณนาถ (Chea Vannath) นักวิเคราะห์การเมืองกัมพูชากล่าว

พรรคประชาชนกัมพูชา พัฒนามาจาก “พรรคประชาชนปฏิวัติกัมพูชา” (Cambodian People's Revolutionary Party) ที่ก่อตั้งโดยคอมมิวนิสต์เวียดนามในปี 1979 หลังจากที่เวียดนามบุกกัมพูชา และโค่นล้มอำนาจของฝ่ายเขมรแดง ซึ่งเป็นคณะปกครองที่ถูกกล่าวหาว่าทำให้มีประชาชนล้มตายราว 2 ล้านคนจากการเข่นฆ่า ความอดอยาก โรคระบาดและการใช้แรงงานหนัก

แม้ว่าพรรค CPP จะล้มเลิกอุดมการณ์ในแบบคอมมิวนิสต์ แต่ยังคงมีรูปแบบแนวคิดดังกล่าวปรากฎอยู่ทั่วไป รวมทั้งการควบคุมคณะรัฐบาลอย่างเข้มงวดในทุกๆ ระดับ

“รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารทั่วประเทศถูกควบคุมอย่างเข้มงวด” ดร.เล่ามงเฮ (Lao Mong Hay) นักวิจัยอาวุโสของคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (The Asian Human Rights Commission) กล่าว

สมาชิกพรรคฝ่ายค้าน ได้กล่าวหารัฐบาลฮุนเซน ว่า ซื้อเสียงผู้ที่สนับสนุนด้วยการเสนองานที่น่าสนใจให้แก่พวกเขา แต่นายกรัฐมนตรีได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว

“พวกเขากล่าวหาว่าเราซื้อเสียงประชาชน เราเป็นพรรคที่ได้รับอำนาจในการปกครอง เราจึงมีสิทธิ์ที่จะแต่งตั้งบุคคลให้อยู่ในตำแหน่งทางอำนาจต่างๆ ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

สมเด็จฮุนเซน วัย 55 ปี ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเมื่อปี 1985 และมีความมุ่งมั่นที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป โดยได้เคยให้คำมั่นต่อสาธารณชนว่าจะอยู่ในตำแหน่งจนถึงอายุ 90

ก่อนหน้านี้ เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยครั้งแรกเมื่อปี 1993 แต่ก็ได้มีการต่อรองจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 และ จากนั้นก็เข้าควบคุมอำนาจทั้งหมดจากการรัฐประหารเมื่อปี 1997

ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี 2003 ไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นมากนัก แต่ก็ได้นำประเทศไปสู่สภาพความหยุดนิ่งทางการเมืองเมื่อเกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลผสม

กรมพระนโรดมรณฤทธิ์ ถูกสั่งปลดออกจากตำแหน่งประธานพรรคฟุนซินเปค (Funcinpec) อันเป็นพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน และคาดกันว่า พรรคฝ่ายค้านที่สำคัญคือ พรรคสมรังสี จะชนะการเลือกตั้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในบริเวณเขตรอบนอกเมืองหลวง

นอกจากนี้ นายแกมสุขา (Kem Sokha) ซึ่งได้จัดตั้งพรรคการเมืองแนวพิทักษ์สิทธิมนุษยชน จะสามารถเฉือนคะแนนนิยมไปส่วนหนึ่งในการเลือกตั้ง

มีประชาชนถึง 8.1 ล้านคน ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียง โดยมีการจัดคูหาเลือกตั้งขึ้น 15,000 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้การสังเกตการณ์ขององค์กรต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศรวมกว่า 13,000 องค์กร

รัฐบาลฮุนเซนได้นำกัมพูชาผ่านพ้นจากสงครามกลางเมือง และยังพัฒนาเศรษฐกิจโดยการเปิดการค้าและการท่องเที่ยวของประเทศ

การส่งออกเครื่องนุ่งห่มและการท่องเที่ยว ได้ทำให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่กัมพูชาก็ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนของโลก ราว 35% ของจำนวนประชากร 14 ล้านคนมีรายได้เฉลี่ยน้อยกว่า 50 เซนต์ต่อวันเท่านั้น

ภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับการบริหารงานด้านเศรษฐกิจของพรรค CPP

“คุณจะเห็นว่าราคาของน้ำมันได้เพิ่มขึ้นทุกวัน ซึ่งฉันมั่นใจว่านี่จะเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของรัฐบาล” นางวรรณนาถ กล่าว และยังคาดอีกว่า พรรคของสมเด็จฯฮุนเซน จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้