xs
xsm
sm
md
lg

ย้ำปม “โซลาร์รูฟท็อป” สะดุด ! แม้คนไทย 80% อยากติดแต่ยังชะลอ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดผลสำรวจ SCB EIC พบคนไทย 80% สนใจติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแต่ยังไม่ดำเนินการ ชี้เหตุจากอุปสรรค 4 ด้าน ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “การให้เงินอุดหนุนการติดตั้ง” มากที่สุด สภาผู้บริโภค ชำแหละร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เกาไม่ถูกที่คัน แตะเพียง “กระบวนการติดตั้งให้สะดวกขึ้น”


นายจิรวุฒิ อิ่มรัตน์ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) กล่าวว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคต่อตลาดพลังงานสะอาด การเติบโตของโซลาร์รูฟท็อปช่วงที่ผ่านมานั้นได้ปัจจัยหนุนที่ชัดเจน 3 ประการ คือ

1.ต้นทุนที่ลดลง ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปอยู่ที่ประมาณ 3 บาทต่อหน่วย ซึ่งถูกกว่าค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปัจจุบันที่ประมาณ 4 บาทต่อหน่วย ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้ถึง 24% ทำให้การลงทุนมีความคุ้มค่า

2.นโยบายรัฐที่เอื้ออำนวย ภาครัฐเริ่มให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การอนุญาตให้นำค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง 200,000 บาทแรกไปลดหย่อนภาษีได้ และการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการขออนุญาตเป็นเพียงแจ้งขอติดตั้ง เพื่อลดความยุ่งยาก

3.ศักยภาพจากแสงแดด ประเทศไทยมีแสงแดดเข้มข้นตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นต้นทุนธรรมชาติที่สำคัญ โดย SCB EIC ประเมินว่าเฉพาะที่อยู่อาศัยมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 120,000 เมกะวัตต์ แต่ปัจจุบันติดตั้งไปแล้วเพียง 2,500 เมกะวัตต์เท่านั้น ทำให้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมหาศาล

• เผย 4 อุปสรรคที่ขัดขวางการตัดสินใจ’


แม้จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ แต่ผลสำรวจจาก SCB EIC ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2,200 คน พบว่ายังมี 80% ของผู้ที่สนใจยังไม่ตัดสินใจติดตั้ง (ส่วนที่เหลือ 9% เป็นกลุ่มที่ติดตั้งแล้ว 3% อยู่ระหว่างการติดตั้ง และ 8% ไม่สนใจติดตั้ง) เนื่องจากอุปสรรคสำคัญ 4 ประการ

1.ขาดความเชื่อมั่นต่อผู้ให้บริการ: ผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพและราคาของผู้ให้บริการติดตั้ง โดย 44% ระบุว่าเป็นอุปสรรคสำคัญอันดับแรก

2.ความซับซ้อนของเทคโนโลยี: ตลาดมีแผงโซลาร์และอุปกรณ์ให้เลือกมากมาย ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านเทคนิคไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้

3.ขั้นตอนการขออนุญาตที่ยังยุ่งยาก: แม้จะมีการผ่อนปรนกฎระเบียบแล้ว แต่ผู้บริโภคบางส่วนยังคงมองว่าขั้นตอนการติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อขออนุญาตยังมีความยุ่งยาก

4.ปัญหาด้านการเงิน: การจัดหาเงินทุนเพื่อติดตั้งเป็นอุปสรรคสำคัญ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งยังเป็นเงินก้อนใหญ่ที่ต้องใช้เงินสด ซึ่งผู้บริโภคกว่าครึ่งมองว่าเป็นปัญหา


• “การให้เงินอุดหนุน” ผู้บริโภคต้องการมากที่สุดจากภาครัฐ

จากผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ “การให้เงินอุดหนุนการติดตั้ง” มากที่สุด รองลงมาคือ “การลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง” ขณะที่ความต้องการอื่น ๆ ที่ผู้บริโภคอยากให้รัฐสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่ การปลดล็อกการขายไฟฟ้าได้อย่างเสรี การเสนอขายระบบโซลาร์รูฟท็อปทางเลือกในราคาที่ถูกกว่าตลาด

เช่น ระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ผลิตโดยคนไทย ภายใต้การสนับสนุนเงินทุนวิจัยจากภาครัฐ การรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินในอัตราเดียวกับราคาขายปลีก และการผ่อนปรนขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคต้องการ “แพ็กเกจนโยบาย” ที่ครบถ้วน ทั้งในมิติของต้นทุน การเข้าถึงระบบ และสิทธิประโยชน์หลังการติดตั้ง

• เปิดทางออก แต่ละภาคส่วนต้องขับเคลื่อน ‘โซลาร์รูฟท็อป’


-ผู้ประกอบการติดตั้ง ควรสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการแสดงผลงาน และอธิบายเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย

-สถาบันการเงิน ควรปรับปรุงขั้นตอนการขอสินเชื่อให้รวดเร็ว และเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

-ภาครัฐ ควรมีบทบาทสำคัญที่สุดในการเป็น หลังบ้าน ที่คอยสนับสนุนในทุกมิติ โดยมีข้อเสนอแนะดังนี้

ในระยะสั้น จัดตั้งโปรแกรม Voluntary Certification เพื่อรับรองมาตรฐานของผู้ประกอบการและอุปกรณ์, พิจารณาให้เงินอุดหนุนในการติดตั้ง และสร้าง One Stop Service สำหรับการดำเนินงานทั้งหมด

ขณะที่ระยะยาว ผลักดันการซื้อ-ขายไฟฟ้าเสรี (Third Party Access – TPA) เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถซื้อ-ขายไฟฟ้าสะอาดกันเองได้ง่ายขึ้น รวมถึงการมีโครงการรับซื้อไฟฟ้าส่วนเกินคืนจากครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง


เคาะโซลาร์รูฟท็อป รัฐไทย “เกาไม่ถูกที่คัน”

ผศ. ประสาท มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาผู้บริโภค อธิบายร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ว่ากฎหมายฉบับนี้ “เกาไม่ถูกที่คัน”

นโยบายของภาครัฐเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการติดตั้งโซลาร์เซลล์ของภาคประชาชน โดยปัญหาสำคัญที่ขัดขวางการเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์ในภาคครัวเรือน คือข้อกำหนดของรัฐที่ “ห้ามไฟฟ้าที่ครัวเรือนผลิตได้มากในตอนกลางวันไหลย้อนกลับสู่สายส่ง แล้วสามารถดึงกลับมาใช้ในตอนกลางคืนได้” เขาย้ำว่า “กติกาของรัฐ บังแดดประชาชน”

กติกาข้อนี้ทำให้เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ที่ต้องออกไปทำงานตอนกลางวัน มีโอกาสใช้ไฟฟ้าที่ผลิตเองจากแสงแดดได้เพียงประมาณ 28% ซึ่งเมื่อนำไปคำนวณต้นทุนแล้ว ทำให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาหน่วยละประมาณ 3.60 บาท และมีระยะเวลาคืนทุนที่ยาวนานถึง 16 – 17 ปี

นี่คือหัวใจของปัญหาที่แท้จริง ดังนั้นต่อให้รัฐบาลทำให้กระบวนการติดตั้งสะดวก รวดเร็วแค่ไหนก็ตาม หากยังไม่สามารถแก้ปัญหาตรงจุดนี้ได้ ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเกิดแรงจูงใจหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น เปรียบเหมือนกับการ “เกาไม่ถูกที่คัน”

พ.ร.บ. ส่งเสริมโซลาร์ฯ… เสียเวลาเปล่า?


สำหรับ “ร่าง พ.ร.บ. การส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. …” ที่รัฐบาลมีมติรับหลักการไปเมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 ผศ. ประสาทให้ความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ออกมาด้วยเหตุผลหลักคือ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์สะดวกและรวดเร็วขึ้น และลดขั้นตอนที่ซับซ้อนเพื่อจูงใจให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภาคครัวเรือน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การลดภาระค่าใช้จ่าย การสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยแตะเพียง “กระบวนการติดตั้งให้สะดวกขึ้น” โดยไม่ได้แก้ไขกติกาที่ภาครัฐกำหนดไว้

“แม้รัฐบาลจะอ้างถึงประโยชน์ของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แต่การมุ่งแก้ไขเพียงกระบวนการติดตั้งโดยไม่แตะต้องเรื่องการนำไฟฟ้าที่ผลิตได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น ก็เหมือนเป็นการเสียเวลาเปล่า และทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่สามารถบรรลุผลได้จริง” ผศ.ประสาทระบุ

สำหรับแนวทางการปรับปรุงแก้ไข อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ มีข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ

หนึ่ง ต้องมีการปรับแก้ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว โดยกำหนดให้ใช้ระบบเน็ตมิเตอร์ริง (Net Metering) หรือระบบการหักลบกลบหน่วยไฟฟ้า โดยระบบนี้จะทำให้ไฟฟ้าที่ประชาชนผลิตได้เกินในตอนกลางวัน แล้วนำส่วนที่เหลือไม่ได้ใช้ จ่ายกลับเข้าไปที่การไฟฟ้า เปรียบเสมือนการ “ฝากไฟฟ้า” เพื่อดึงไฟฟ้ากลับมาไว้ใช้ในเวลากลางคืนได้ทันที ทำให้ประชาชนสามารถใช้ไฟฟ้าในจำนวนหน่วยที่ตนเองผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องจ่ายค่าไฟช่วงกลางคืนที่ไม่มีแสงแดดอย่างเช่นปัจจุบัน ระบบดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าที่ตัวเองสร้างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวรัฐบาลอาจเริ่มใช้กับกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเฉพาะกลุ่มเปราะบางอย่างเดียวในขั้นแรก พร้อมยืนยันว่า “สำหรับประชาชนทั่วไปผมว่าเพิ่มการส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่เข้าไปในในระบบโซลาร์รูฟท็อป เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์จะช่วยทำให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง”

สอง รัฐบาลควรเพิ่มเติมใน ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว คือ การระบุเป้าหมายในการขับเคลื่อนเรื่องพลังงานสะอาด ทั้งจากโซลาร์เซลล์รวมถึงพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ไว้ใน ร่าง พ.ร.บ. ด้วย เพื่อเป็นเหมือนตัวชี้วัดให้สภาผู้แทนราษฎรได้ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของฝ่ายบริหารด้วย


กำลังโหลดความคิดเห็น