การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก หรือ INC-5.2 เพื่อหาข้อสรุปเครื่องมือและกลไกระหว่างประเทศในการหยุดมลพิษพลาสติกโลก โดยมีผลผูกพันทางกฎหมาย ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ จบลงอย่างน่าผิดหวัง
การประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลก ครั้งที่ 5.2 (Intergovernmental Negotiating Committee: INC) หรือ INC-5.2 ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ใช้เวลายาวนานถึง 11 วัน (5-15 ส.ค.2025) สิ้นสุดลงโดยไม่มีข้อตกลง ทำให้เป้าหมายเพื่อสร้างเครื่องมือและกลไกระหว่างประเทศในการหยุดมลพิษพลาสติก โดยมีผลผูกพันทางกฎหมาย ล่มเหลวเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่เคยล่มมาก่อนหน้า (INC-5) ที่ปูซาน เกาหลีใต้ (25 พ.ย. – 2 ธ.ค. 2024)
ประเด็นปัญหาในการเจรจาที่ยังตกลงกันไม่ได้ : เช่น ขอบเขตของสนธิสัญญาที่จะครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก การควบคุมการผลิต และการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุน
การที่ไม่มีข้อตกลง : ส่งผลให้การแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกล่าช้าออกไป จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของมนุษย์ และเศรษฐกิจโลกต่อไป
ความท้าทายในการเจรจาครั้งต่อไป : จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการหาข้อสรุปที่ทุกฝ่ายยอมรับได้
•ของขวัญประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียม
World Economic Forum รายงานว่า INC-5 มีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปสนธิสัญญาระดับโลกที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อยุติมลพิษพลาสติก โดยครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติกทั้งหมดตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการกำจัด ในเมื่อการเจรจาไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ก็จะกลับมาดำเนินการอีกครั้งในภายหลัง
สนธิสัญญามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดเมื่อคาดการณ์ว่าขยะพลาสติกทั่วโลกจะสูงถึง 1.7 พันล้านเมตริกตันภายในปี 2060 ซึ่งมีมูลค่ารวม 281 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐตามการประมาณการบางส่วน
โครงการ Global Plastic Action Partnership ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มของสภาเศรษฐกิจโลก ทำหน้าที่เป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินการเกี่ยวกับมลพิษพลาสติก และเป็นแนวทางให้ประเทศต่างๆ เปลี่ยนแปลงพันธสัญญาระดับโลกให้เป็นรูปธรรม
เนื่องจากในแต่ละปีมีการผลิตพลาสติกมากกว่า 460 ล้านเมตริกตัน ซึ่งคาดการณ์ว่า 20 ล้านเมตริกตันกำลังก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ขยะพลาสติกส่งผลกระทบต่อแหล่งที่อยู่อาศัยบนบก น้ำจืด และทะเล ล้วนได้รับผลกระทบจากขยะพลาสติก และแนวโน้มนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สหประชาชาติได้จัดการเจรจาหลายครั้งเพื่อลงนามสนธิสัญญาฉบับแรกของโลกเพื่อควบคุมมลพิษจากพลาสติก การเจรจาครั้งล่าสุด ณ กรุงเจนีวา ถือเป็นรอบสุดท้ายในการบรรลุข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายและเป็นประวัติศาสตร์ฉบับนี้ แต่น่าเสียดายที่การประชุม INC-5.2 ของสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ไม่สามารถบรรลุกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดและบังคับใช้ได้เพื่อลดมลพิษจากพลาสติก
• ประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียมรวมหัวคัดค้าน
ในการประชุม มีผู้แทนจาก 100 ประเทศจากทุกทวีป ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ต่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกประเทศเห็นตรงกันว่า ควรลดการผลิตพลาสติก และกำหนดมาตรการควบคุมสารเคมีในการผลิตพลาสติก แต่ผู้เจรจาของซาอุดีอาระเบียและคูเวตกล่าวว่า ข้อเสนอล่าสุดนี้คำนึงถึงมุมมองของประเทศอื่น ๆ มากกว่า และกล่าวถึงการผลิตพลาสติกเป็นประเด็นอยู่นอกเหนือขอบเขตของสนธิสัญญา
เมื่อมีประเทศที่ไม่เห็นด้วย ประเด็นเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำไปอยู่ในสนธิสัญญาได้ เนื่องจากทุกประเทศจะต้องเห็นชอบกับทุกข้อเสนอ ทำให้การประชุมครั้งนี้ล้มเหลว เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ ในปี 2567
โดยเฉพาะประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียมและพลาสติกอย่างเช่น อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน คูเวต และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอในสนธิสัญญา ระบุว่า จำเป็นต้องใช้ฉันทามติ โดยทุกประเทศต้องเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะจะทำให้สนธิสัญญาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ในเมื่อเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกประเทศเห็นตรงกัน บางประเทศจึงต้องการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเป็นการใช้เสียงส่วนใหญ่แทน
• อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปสำหรับสนธิสัญญาพลาสติกโลก?
แม้ว่าบางประเทศจะเห็นพ้องต้องกันว่าฉันทามติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อสนธิสัญญาที่มีผลผูกพันอย่างแท้จริงและมีประสิทธิภาพ แต่บางประเทศก็ระบุว่ากระบวนการเจรจาในอนาคตควรได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถตัดสินใจได้โดยการลงคะแนนเสียงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะชะงักงัน
“การไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้อาจนำมาซึ่งความเศร้าโศกหรือแม้กระทั่งความคับข้องใจ” หลุยส์ วายาส วัลดิวิเอโซ ประธาน INC กล่าวในแถลงการณ์ “แต่ไม่ควรนำไปสู่ความท้อแท้ ตรงกันข้าม มันควรกระตุ้นให้เราฟื้นคืนพลัง ต่ออายุพันธสัญญา และรวมความปรารถนาของเราเข้าด้วยกัน”
เขากล่าวเสริมว่า “เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้นในเจนีวา แต่ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อประชาคมระหว่างประเทศจะรวมพลังและร่วมมือกันเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนของเรา”
อิงเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการบริหาร UNEP สะท้อนความรู้สึกนี้ในช่วงปิดการเจรจาเมื่อวันศุกร์ (15 ส.ค.) “เราไม่ได้บรรลุเป้าหมายที่เราต้องการ แต่ประชาชนต้องการข้อตกลง งานนี้จะไม่หยุด เพราะมลพิษจากพลาสติกไม่หยุด”
ซิเมน่า บาเนกัส ผู้รณรงค์รณรงค์ด้านพลาสติกและปิโตรเคมีระดับโลกของ CIEL กล่าวว่า “เรามีหลักฐานมานานหลายทศวรรษที่แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและเคมีภัณฑ์ นั่นคือ ปฏิเสธ เบี่ยงเบน และขัดขวาง บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นศูนย์กลางการผลิตพลาสติก เนื่องจากพลาสติกกว่า 99%มาจากสารเคมีที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากอุปสรรคในการเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศมานานหลายทศวรรษ ทำไมใคร ๆ ถึงคิดว่าพวกเขาจะปรากฏตัวอย่างจริงใจในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติก”
เกรแฮม ฟอร์บส์ หัวหน้าคณะผู้แทนกรีนพีซประจำเจนีวา เรียกร้องให้ผู้แทนไปใช้การลงคะแนนแบบเสียงส่วนใหญ่แทน โดยกล่าวว่า “เรากำลังวนเวียน เราไม่สามารถทำสิ่งเดิม ๆ แล้วคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปได้ แม้การเจรจาจะดำเนินต่อไป แต่ก็จะล้มเหลวอีกครั้งหากยังไม่สามารถหาทางออกได้ และกระบวนการไม่เปลี่ยนแปลง”
“เราต้องการการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่การทำซ้ำ ประเทศที่ต้องการสนธิสัญญาต้องออกจากกระบวนการนี้และจัดตั้งสนธิสัญญาโดยสมัครใจ และกระบวนการนี้ต้องมีตัวเลือกสำหรับการลงคะแนนเสียงที่ปฏิเสธอำนาจเผด็จการโดยฉันทามติที่เราได้เห็นกันมา”
การเจรจาจะกลับมาดำเนินการอีกครั้ง แต่ยังไม่มีการกำหนดวันที่ชัดเจน แม้ว่าผู้แทนจากหลายประเทศจะระบุว่าพวกเขา “ผิดหวังอย่างมาก” กับผลลัพธ์ แต่หลายประเทศก็ยอมรับว่าสนธิสัญญายังคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งประชาชนและโลก