xs
xsm
sm
md
lg

ดันไทยชูจุดยืน “ลดการผลิตพลาสติก” เปิดเอกสาร “ต้นทุนของความเพิกเฉย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเจรจาจัดทำสนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติกฉบับโลก (Global Plastics Treaty) ในการประชุมรอบที่ 5.2 หรือ INC-5.2 ที่กำหนดจัดขึ้น ณ เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 5 – 13 สิงหาคม 2568 กรีนพีซ ชี้ยังเป็นโอกาสดีของประเทศไทยจะแสดงจุดยืนที่กล้าหาญ ผลักดันให้เกิดการจำกัดการผลิตพลาสติกใหม่ตั้งแต่ต้นทางในระดับโลก พร้อมเปิดหลักฐาน “ต้นทุนของความเพิกเฉย” ที่เพิ่มขึ้นในระยะยาว

ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการยุติมลพิษพลาสติกในระดับภูมิภาคได้ก็ต่อเมื่อเริ่มลงมืออย่างจริงจังด้วยการกำหนดเป้าหมายระดับชาติที่ชัดเจนและทะเยอทะยาน ตั้งแต่ตอนนี้ โดยเฉพาะบนเวทีการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาว่าด้วยพลาสติกฉบับโลก (Global Plastics Treaty) INC-5.2 โดยให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายลดการผลิตพลาสติกใหม่ร้อยละ 75 ภายในปี พ.ศ. 2583 ถึงจะเป็นสัญญาณเชิงนโยบายที่ชัดเจนและมีพลัง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและการยอมรับในระดับนานาชาติ เปิดประตูสู่การลงทุนในเศรษฐกิจหมุนเวียน และส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ยั่งยืน


•เปิดหลักฐาน “ต้นทุนของความเพิกเฉย” หากไม่ลด ไม่คุ้ม

เมื่อวันสิ่งแวดล้อมโลก (5 มิ.ย.2568) กรีนพีซ ประเทศไทย จัดงาน “END THE AGE OF PLASTIC: ยุติมลพิษพลาสติก” นำเสนอข้อเท็จจริงที่ได้จากการรวบรวมผลการศึกษาจากหลากหลายแหล่งข้อมูลที่สะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงของมลพิษพลาสติก ซึ่งกำลังคุกคามระบบนิเวศ สุขภาพของประชาชน และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในอนาคต

พร้อมเปิดเอกสารการรวบรวมผลการศึกษา “ต้นทุนของความเพิกเฉย : ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจของประเทศไทย หากไม่ลดการผลิตพลาสติก” ตอกย้ำการผลิตพลาสติก เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHGs) ในระดับสูง และเร่งให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ โดย ปี พ.ศ. 2562 พบว่า การผลิตพลาสติกขั้นต้นในประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) 27.3 ล้านตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 7.3 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศในปีเดียวกัน

ขณะที่ช่วงปี พ.ศ.2567 – 2568 บทวิเคราะห์ โดยกรุงไทยคอมพาส (Krungthai COMPASS) ระบุว่า ประเทศไทย ใช้เม็ดพลาสติกประมาณร้อยละ 38 – 40 ในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก ถือเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับการใช้เม็ดพลาสติกในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในไทย ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ตลาดบรรจุภัณฑ์พลาสติกของไทยจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 5.4 ในปี 2567 และร้อยละ 3.7 ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนทั้งการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม การขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ รวมถึงบริการส่งอาหารแบบดิลิเวอร์รี่

และจากรายงานของกรมควบคุมมลพิษในปี 2566 ประเทศไทยได้มีการประเมินว่า ปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) มีปริมาณสูงถึง 3.03 ล้านตันต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 11.25 ของปริมาณขยะทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศ แม้ในปัจจุบันจะมีระบบจัดการขยะชุมชนในภาพรวมอยู่ในระดับหนึ่ง ซึ่งในรายงานตั้งคำถามสำคัญที่ยังไม่ถูกตอบ คือ ต้นทุนของการจัดการขยะพลาสติกนั้นเพียงพอหรือไม่ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการฟื้นฟูระบบนิเวศในะยะยาวที่เกิดจากการที่ขยะพลาสติกรั่วไหลเข้าสู่ระบบนิเวศและสะสมในห่วงโซ่อาหาร


• วัดโอกาสแสดงจุดยืน “ผู้นำที่กล้าหาญของอาเซียน”

พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศผู้นำของภูมิภาคอาเซียน นี่คือโอกาสที่สำคัญในการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนบนเวทีโลก ผ่านการผลักดันเป้าหมายและกรอบเวลาของการลดการผลิตพลาสติกใหม่ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกอย่างแท้จริง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เสียงของไทยสามารถเป็นพลังบวกที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับโลกได้ หากเราเริ่มลงมือปฎิบัติ ด้วยความกล้า ไม่ย่อท้อและโอนอ่อนต่อแรงกดดัน เราจะไม่เพียงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้ได้ แต่ยังสร้างต้นแบบแห่งความยั่งยืนให้ภูมิภาคและโลกได้เห็นว่าไทยพร้อมเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง”

แม้ประเทศไทยจะใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การมุ่งเน้นเพียงตัวเลขโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สังคม และสุขภาพของประชาชน กำลังกลายเป็นกับดักที่ย้อนกลับมาทำร้ายประเทศในระยะยาว การเพิ่มการผลิตพลาสติกอาจสร้างรายได้ระยะสั้นให้กับบางภาคส่วน แต่ในทางกลับกันย่อมเป็นการสร้างต้นทุนด้านสุขภาพ ภัยพิบัติ และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติที่ภาครัฐและประชาชนต้องแบกรับ

จากรายงานวารสาร Cambridge Prisms: Plastics ระบุว่า แม้การลดการผลิตพลาสติกและลงทุนในทางเลือกที่ยั่งยืนจะมีต้นทุน แต่ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นคุ้มค่าและชัดเจนกว่าการเพิกเฉย โดยมีการคาดการณ์ความเสียหายจากมลพิษพลาสติกอาจสูงถึง 14,000–282,000 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการจัดการที่เป็นรูปธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกภายใต้กรอบเวลาที่ชัดเจน เพื่อสร้างความรับผิดชอบร่วม สร้างความโปร่งใส และเสริมความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน


ด้าน สฤณี อาชวานันทกุล หัวหน้าทีมวิจัย แนวร่วมการเงินที่เป็นธรรมประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนไม่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยการผลักภาระต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การผลิตพลาสติกที่ไม่จำเป็นและไม่มีการควบคุมจะทำให้สังคมและสิ่งแวดล้อมเสียหายไร้ที่สิ้นสุด เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ เศรษฐกิจที่ดีต้องคำนึงถึงอนาคต และระบบการเงินที่เป็นธรรมต้องไม่สนับสนุนธุรกิจที่ทำร้ายอนาคตคนรุ่นหลัง”

ประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้ในการแสดงบทบาทนำของภูมิภาค และยืนหยัดเพื่อระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยมีประชาชนและธรรมชาติเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

สนธิสัญญาฉบับนี้จะต้องกำหนดเป้าหมายการลดการผลิตพลาสติกใหม่ลงอย่างน้อยร้อยละ 75 ภายในปี 2583 (ค.ศ. 2040) เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่รุนแรงต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยจำกัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญตามเป้าหมายของความตกลงปารีสที่ประเทศไทยได้ร่วมลงนามในความตกลงดังกล่าวไปเมื่อปี 2559

การยุติมลพิษพลาสติกไม่ใช่ภาระของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หากแต่คือ ความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสังคม และคือโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง สู่อนาคตที่สะอาด ยุติธรรม และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป




• ลดมลพิษพลาสติกที่ยั่งยืน ต้องลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว

ชณัฐ วุฒิวิกัยการ ผู้ก่อตั้ง KongGreenGreen กล่าวว่า “พลาสติกชิ้นเดียวที่เราใช้แล้วทิ้ง อาจดูเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อสะสมจากคนทั้งประเทศ มันสามารถกลายเป็นวิกฤตระดับชาติได้ การเปลี่ยนแปลงสามารถเริ่มต้นได้จากการลงมือทำด้วยตัวเราเองแม้จะเป็นเพียงการปฏิเสธถุงพลาสติกหรือการพกแก้วส่วนตัว แต่เมื่อคนจำนวนมากร่วมมือกัน โลกของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้แน่นอน”

ขณะที่ ผศ.เพ็ญจันทร์ ละอองมณี รองคณบดีคณะเทคโนโลยีทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา วิทยาเขตจันทบุรี กล่าวว่า“พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในปัจจุบันไม่ได้ย่อยสลายหายไป แต่กลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลและห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ นโยบายลดการผลิตพลาสติกไม่ใช่เพียงการรักษาสิ่งแวดล้อม แต่คือการปกป้องสุขภาพ ความมั่นคงทางอาหาร และความยั่งยืนของทรัพยากรทางทะเลที่เราต้องพึ่งพา”

อ้างอิง : “ต้นทุนของความเพิกเฉย”อาจทำลายเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
หากไทยยังไม่ลดการผลิตพลาสติก
https://www.greenpeace.org/thailand/press/55787/costofinactionpr/


กำลังโหลดความคิดเห็น