การประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลก ครั้งที่ 5.2 หรือ INC 5.2 ซึ่งคาดว่าจัดขึ้นภายในปีนี้ ภาคประชาสังคมออกมาส่งสัญญาณ ต้องการให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งในการเจรจา 10 ประการ จับตา INC5.2 อาจจบไม่ลงซ้ำรอยที่ปูซาน
ภายหลังการประชุมสนธิสัญญาพลาสติกโลกเพื่อจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศด้านมลพิษจากพลาสติก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเล” ครั้งที่ 5 หรือ INC-5 ณ เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2567 ไม่บรรลุผล
แม้ว่าผลการเจรจามีความคืบหน้า แต่ยังมีปัญหาบางประการที่ไม่สามารถตกลงกันได้ จนต้องขยายเวลาการเจรจาออกไปเป็น INC-5.2 ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นภายในปีนี้
• 10 ข้อเรียกร้อง ดันไทยแสดงจุดยืน
ภาคประชาสังคม อาทิ กรีนพีซ ประเทศไทย มูลนิธิบูรณะนิเวศ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (EJF) ยังคงเน้นย้ำข้อเรียกร้องเดิมที่ต้องการให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนที่เข้มแข็งในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก โดยมีข้อเรียกร้อง 10 ประการ ดังนี้
1.ลดการผลิตพลาสติกให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืนต่อการบริโภคและสิ่งแวดล้อม ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้
2.กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัยและไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
3.กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน
4.กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายและขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ยกเลิกการใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็น ขยายระบบใช้ซ้ำ การเติม และการซ่อมแซม รวมไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าสู่กระบวนรีไซเคิลที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้จริงภายในประเทศ ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายของสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
5.กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายสารเคมีและมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ
6.กำหนดให้มีมาตรฐานสากลในการจัดการพลาสติกที่ใช้แล้ว ที่ให้ความสำคัญกับการลดพลาสติกแต่ต้นทาง การห้ามเผาขยะพลาสติก การกำหนดมาตรฐานการจัดการขยะที่เข้มงวด รวมไปถึงการรีไซเคิลและการผลิตพลังงาน และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
7.ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก[1] การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น
8.ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา
9.กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก
และ 10.กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึงชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงานและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
• จับตา INC5.2 อาจจบแบบยืดเยื้อ
พิชามญชุ์ รักรอด หัวหน้าโครงการรณรงค์ยุติมลพิษพลาสติก กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า “จากการได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ใน INC5 เป็นที่น่าสังเกตได้ว่ามีตัวแทนบริษัทน้ำมันและปิโตรเคมีเข้าร่วมถึง 220 คน ซึ่งสูงสุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นข้อกังวลว่าการเจรจาจะทำให้การลดใช้และผลิตพลาสติกจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและนำไปสู่การจัดทำมาตรการที่หันเหไปจากวัตถุประสงค์ตั้งต้น ที่ต้องการให้มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อยุติมลพิษพลาสติก ดังนั้น ในการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลฯ (INC) รอบหน้าจึงมีความสำคัญและน่าจับตามองอย่างมาก”
ด้าน ศลิษา ไตรพิพิธสิริวัฒน์ ผู้จัดการโครงการพลาสติก Environmental Justice Foundation กล่าวว่า “แม้จะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แต่การขยายการเจรจาออกไปเป็นเรื่องที่ดีกว่าการรีบทำให้เสร็จแล้วโลกได้สนธิสัญญาที่แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้มา ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้จัดและประเทศสมาชิกต้องหารือว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ และต้องป้องกันให้ไม่เกิดขึ้นอีกในการเจรจาครั้งที่ 5.2 ยังมีอีกหลายข้อบทที่ต้องการเวลามากกว่า 7 วันในการเจรจา ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล เราต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก ไม่เช่นนั้นการเจรจาครั้งที่ 5.2 อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เราจะเสียเวลาไปอีก และโลกเราจะมีโอกาสอีกสักกี่ครั้งที่จะได้เข้าใกล้การแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติกได้อย่างแท้จริงขนาดนี้”
ขณะที่ ฐิติกร บุญทองใหม่ ผู้จัดการแผนงานของเสียและมลพิษอุตสาหกรรม มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า “ในตอนแรก การประชุม INC5 คาดหวังไว้ว่าอย่างน้อยจะต้องมีการคุยกันเรื่องประเด็นสารเคมีในพลาสติกอย่างจริงจัง และนำไปสู่ร่างสนธิสัญญาพลาสติกที่มีการควบคุมสารเคมีในพลาสติกอย่างเข้มข้น แต่สุดท้าย การประชุม INC5 ครั้งนี้ไม่สามารถหาข้อสรุป รวมทั้งมีความพยายามในการลดความจริงจังต่อมาตราที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในพลาสติก และไม่สามารถเกิดร่างสนธิสัญญาพลาสติกได้ ต้องประชุมใน INC5.2 ในอนาคตอีกครั้ง”
ในการประชุม INC5 ที่ปูซาน มีประเทศที่เข้าร่วมการเจรจา 178 ประเทศ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประเทศผู้สนับสนุน “สนธิสัญญาอันทะเยอทะยาน” ประกอบด้วยกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป รวมถึงอังกฤษ กลุ่มประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกา กลุ่มประเทศละตินอเมริกา และกลุ่มประเทศแคริบเบียน กับกลุ่มประเทศที่แสดงจุดยืนในเชิงขัดขวาง ซึ่งเรียกตนเองว่า “ประเทศที่มีความคิดเหมือนกัน” ประกอบด้วยกลุ่มประเทศอ่าวและกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน ที่มีซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน รัสเซีย รวมถึงอินเดีย
ส่วนจีนและสหรัฐอเมริกา เดิมทีเอนเอียงไปในทางคัดค้านสนธิสัญญาแบบทะเยอทะยาน แต่ในการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองประเทศมีท่าทีเอนเอียงที่จะยอมรับสนธิสัญญาแบบทะเยอทะยานมากขึ้น โดยเฉพาะจีนและอีกหลายประเทศ เช่น แคนาดา สิงคโปร์ เนปาล ภูฏาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม ได้แถลงจุดยืนก่อนปิดการประชุม ว่าประเทศของตนจะให้ความร่วมมือในการเจรจาครั้งต่อไป เพื่อให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกโลกฯ เพื่อปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์
สนธิสัญญาพลาสติกโลก กระทบไทย ?
ที่ปูซาน หลายประเทศเสนอให้ลดปริมาณการผลิต Primary Plastic เป็นช่องทางสำคัญการในลดขยะพลาสติก ที่ปัจจุบันมีการผลิตราว 430 ล้านตันต่อปี โดยเฉพาะพลาสติกที่มีส่วนผสมที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น Polyvinyl chloride (PVC), Polystyrene (PS) รวมถึงพลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพื่อลดปริมาณขยะในทั้งวัฎจักร ตามคาดการณ์ว่าจะปนเปื้อนลงสู่ทะเล 14 ล้านตันต่อปี
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า 35% ของปริมาณการผลิตพลาสติกของไทยอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากเป็นกลุ่มได้ถูกเพ่งเล็งในสนธิสัญญาพลาสติกโลก อย่างไรก็ดี การกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับพลาสติกมีผลกระทบต่อธุรกิจในหลายด้านทั้งทางบวกและทางลบ ดังนี้
ต้นทุนการผลิต: การเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจวยลดต้นทุนจากการจัดการขยะและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ความรับผิดชอบจะอยู่ที่ผู้ผลิต: ธุรกิจต้องขยายความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ของตนให้ครบทั้งวงจรชีวิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการจัดการขยะ ซึ่งอาจต้องลงทุนในระบบการรีไซเคิลและการจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพ
การปรับตัวของอุตสาหกรรมอื่น: ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้พลาสติกต้องปรับตัวเพื่อลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและเพิ่มการใช้วัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้
โอกาสทางธุรกิจใหม่: นโยบายเหล่านี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การผลิตวัสดุทดแทนพลาสติก การพัฒนาระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ภาพลักษณ์และความยั่งยืน: การปฏิบัติตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น