xs
xsm
sm
md
lg

ถอดบทเรียน “3 องค์กรใหญ่” ใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างไร / ดร.สุวัฒน์ ทองธนากุล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


งาน ESG Symposium 2023 ระดมสมองเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน
บรรดา 17 ปัญหาของโลกที่เป็นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ซึ่ง 193 ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติรวมทั้งไทย ยืนยันว่าจะร่วมกันแก้ให้สำเร็จภายในปี 2030นั้น ที่เป็นโจทย์ใหญ่คือเป้าหมาย13“รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Action) ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะ”โลกร้อน” ที่ตอนนี้อุณหภูมิก็เพิ่มถึงขั้น”โลกเดือด” แล้ว

สภาพภูมิอากาศโลกที่สูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความแปรปรวน เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้นทุกผู้มีภาค และเกิดบ่อยขึ้น มีทั้ง น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุกระหน่ำ ได้สร้างผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินรวมทั้งกระทบความหลากหลายทางชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร ผลกระทบเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนของสังคมโลกต้องเร่งแก้ไขปัญหาก่อนสายเกินแก้


ในประเทศไทยเราเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวขององค์กรชั้นนำได้ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ในแนวทาง ESG คือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม(E) รับผิดชอบต่อสังคม(S) มีธรรมาภิบาล (G) และมีการจัดสัมมนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในวงการธุรกิจ เช่น เมื่อเร็วๆนี้มีการจัด ESG Symposium 2023

งานนี้ได้เชิญภาคเอกชนเด่น 3 รายที่ตื่นตัวในการปรับธุรกิจ เพื่อร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทยได้แก่ อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมยานยนต์

“3 องค์กรใหญ่”ดังกล่าว ได้แก่ บริษัทเนสท์เล่ (ไทย) จำกัด , บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และ บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ร่วมกันถอดบทเรียนยุทธวิธี "เศรษฐกิจหมุนเวียน" (Circular Economy ) ลดของเสีย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดโลกร้อน ในแนวทางสร้างธุรกิจธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ขวดน้ำดื่มที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล

ซองไอศกรีมที่รีไซเคิลได้
อุตสาหกรรมอาหารกับเป้าหมาย Net Zero

“ถ้าเราไม่ช่วยกัน ธุรกิจก็อาจจะอยู่ไม่ได้ เพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจะทำให้เราไม่มีวัตถุดิบในการผลิตสินค้าอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องตระหนัก” สลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัทเนสท์เล่ (ไทย) จำกัดให้ความคิดเห็น

เนสท์เล่เป็นบริษัทจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ที่มีธุรกิจกระจายอยู่ใน 188 ประเทศ ได้ตั้งเป้าหมายที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์(Net Zero) ในปี 2050 ทั้งกระบวนการตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่มีการประเมินCarbon Footprint(ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบการเกษตร ไปจนถึงบรรจุภัณฑ์ก่อนถึงมือผู้บริโภค
“การวัด Carbon Footprint ของเนสท์เล่ คำนวณจากปีฐาน (ปี 2018) พบว่า เนสท์เล่ทั่วโลก ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่92ล้านตันคาร์บอน โดยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับ1 มาจากวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น การเลี้ยงวัว เพราะบริษัทมีสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นม และโกโก้ อันดับ 2 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาจากบรรจุภัณฑ์”

บริษัทเนสท์เล่ (ไทย )จำกัด ระบุว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในบรรจุภัณฑ์ ได้นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ โดยให้ความสำคัญใน2 เรื่อง คือ 1.บรรจุภัณฑ์ต้องรีไซเคิลได้ตั้งแต่สารตั้งต้น โดยตั้งเป้าจะไปให้ถึง 100% ให้มากที่สุด และ 2.การลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin Plastic)ในการผลิต โดยเนสท์เล่ทั่วโลกตั้งเป้าว่า 1 ใน 3 ของพลาสติกที่ใช้ต้องมาจากพลาสติกรีไซเคิลในปี 2025

ขณะที่ปัจจุบันในเมืองไทย บรรจุภัณฑ์95%สามารถรีไซเคิลได้ แม้แต่ซองไอศกรีมหลายรายการ ล่าสุดน้ำดื่มมิเนเร่ ได้ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกรีไซเคิล ( rPET) เป็นแบรนด์น้ำดื่มแรกในไทย

"อยากจะบอกว่าการทำเรื่องเหล่านี้ ไม่มีใครทำครั้งแรกก็สำเร็จเลย กว่าจะมาถึงวันนี้เราก็ล้มลุกคลุกคลานมาหลายเวอร์ชั่น จึงต้องเรียนรู้ไปพร้อมๆกับการลงมือทำ เพราะเรื่อง Climate Change จะมีเรื่องใหม่อยู่ตลอด และไม่ใช่คิดว่า “ควรทำ”แต่เป็นเรื่อง“ต้องทำ”และหลายภาคส่วนต้องมาร่วมกันทำ ให้เกิดเป็นภาพใหญ่"

“สุดท้ายเมื่อองค์กรทำแล้ว ผู้บริโภค (ตลาด) ก็ต้องตอบรับ ถ้าผู้บริโภคไม่ตอบรับ เศรษฐกิจหมุนเวียนก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ขณะเดียวกันกฎหมายก็ต้องเอื้อให้ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้” สลิลลา กล่าว

MQDC ได้ประกาศ Nature Positive & Carbon Negative ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้ความมุ่งมั่นในการก่อตั้งในการพัฒนาโครงการและนวัตกรรมที่ยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกชีวิต
รีไซเคิลวัสดุก่อสร้าง เคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน

“อุตสาหกรรมก่อสร้าง” เป็นอีกธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างมาก โดย ณภัทร สุพัฒนกุล Senior Vice President of MQDC กล่าวว่า ได้ให้ความสำคัญกับการลดโลกร้อน ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวทุกคน โดยตั้งเป้าเป็นองค์กร “Nature Positive Carbon Negative” ในปี 2050 พร้อมให้ข้อมูลว่า วัสดุทั่วโลก และขยะทั่วโลก มีสัดส่วน 40%มาจากวัสดุและขยะจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง ขณะที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้งโลก 40% ก็มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวของกับการก่อสร้าง โดยเฉพาะคอนกรีตและเหล็ก ภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างจึงต้องร่วมมือกันลดปัญหานี้

การนำหัวเสาเข็มมารีไซเคิล
ตัวอย่างที่ดีก็คือ MQDC ได้นำของเสียจากวัสดุก่อสร้างมาแปรสภาพมาใช้ใหม่(รีไซเคิล)”ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยนำหัวเสาเข็มมารีไซเคิล (recycle concrete pile) และนำขยะพลาสติกมาหลอมทำยางมะตอย (plastic asphalt road) ใช้ปูถนนในบางโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท

“เวลาตอกเสาเข็ม จะมีหัวเสาเข็มที่ถูกตัดออกจำนวนมาก เมื่อก่อนต้องทิ้ง เป็นส่วนหนึ่งของ 40% ที่มาจากขยะก่อสร้าง เราก็หาวิธีนำกลับมาใช้ใหม่ โดยการบดแล้วนำเข้าสู่การผลิตคอนกรีตอีกครั้ง ทำให้ลดขยะส่วนนี้ลงได้ 200 ตัน ขณะที่การทำ plastic asphalt road ที่ผ่านมาใช้ขยะพลาสติกมากถึง 12 ตันในการดำเนินการ เหล่านี้คือความสำเร็จของการทำเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ยังคงมีต้นทุนสูงเพราะเป็นรายเดียวที่ทำ


ในอนาคตถ้าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมมือกันทำเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่คอนกรีต อาจรวมถุงปูน และวัสดุก่อสร้างอื่นๆ รวบรวมได้มากขึ้น จะทำให้การจัดการของเสียในอุตสาหกรรมก่อสร้างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนได้มากขึ้น” ณภัทร ระบุ

นอกจากนี้ในการลดโลกร้อน วงการอุตสาหกรรมก่อสร้างสามารถมีส่วนร่วมได้ การหาวัสดุที่ไม่ใช่ซีเมนต์ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง โดยเฉพาะการใช้“ไม้” ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าคอนกรีต และไทยมีไม้โตเร็วที่ปลูกเป็นป่าเศรษฐกิจ จึงควรปรับกฎหมายให้เหมาะสม มีมาตรการจูงใจด้านภาษี เชื่อว่าจะเป็น “ตัวเร่ง” การดำเนินการในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี



ธุรกิจการบริหารจัดการ (รีไซเคิล) รถเก่าพ้นสภาพการใช้งาน
ลดโลกร้อน โอกาสธุรกิจใหม่ อุตสาหกรรมยานยนต์

สำหรับ “อุตสาหกรรมยานยนต์” สุจิตร์ ปั้นวงศ์ไพบูลย์ Executive Vice President บริษัท โตโยต้า ทูโช (ไทยแลนด์) จำกัด ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า ความร่วมมือในการลดโลกร้อนของทุกภาคส่วน จะนำไปสู่โอกาสเป็นธุรกิจใหม่ ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น ธุรกิจการบริหารจัดการ (รีไซเคิล) รถเก่าพ้นสภาพการใช้งาน ซึ่งประเมินว่า ในระยะ 10 ปีจากนี้ จะมีรถเก่าทั้งเครื่องยนต์สันดาป และระบบไฟฟ้า EV จะต้องออกจากระบบ (อายุใช้งานเกิน 10 ปี) เป็นจำนวนมากถึง 21 ล้านคัน ซึ่งหากบริหารจัดการรถจำนวนนี้ไม่ดีพอ ย่อมทำให้เกิดภาวะโลกร้อน

“ตัวเลขนี้ตื่นตาตื่นใจพอสมควร เพราะจะเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมา รถอายุมากขึ้น ระบบเครื่องยนต์ที่เสื่อมลงจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้น ขณะที่การบำรุงรักษารถเก่าจะมีค่าใช้จ่ายสูง ประเทศญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จในการรีไซเคิลรถยนต์ได้ถึง 99% โดยนำวัสดุกลับมาใช้ได้หมด เช่น เหล็ก อลูมิเนียม พลาสติก โลหะวัตถุ ขณะที่ถุงลมนิรภัย (มีสารกำจัดยาก) ยังสามารถนำกลับมาใช้ได้ถึง 95% จะนับว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เอาอยู่ในเรื่องมลภาวะจากรถเก่าพ้นสภาพการใช้งาน” สุจิตร์ ให้ความเห็น

ขณะนี้มีเงินสนับสนุนจาก NEDO (TheNew Energy and Industrial Technology Development Organization) ประเทศญี่ปุ่น ในการบริหารจัดการรถเก่าพ้นสภาพการใช้งาน โดยจัดตั้งเป็นกิจการชื่อบริษัท Green Metal (Thailand) สามารถรีไซเคิลรถเก่าได้เดือนละ500คัน(นำวัสดุกลับมารีไซเคิลได้เดือนละ 20,000เมตริกตัน) ซึ่งยังน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณรถเก่าพ้นสภาพการใช้งานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตามยังพบปัญหาว่า ใครจะเป็นรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิลรถเก่า ระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ ผู้ใช้รถยนต์ หรือซัพพลายเชนอื่นๆ ขณะเดียวกันกฎหมายยังมีความซับซ้อนและซ้ำซ้อน เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงควรทำให้รวมศูนย์เพื่อเอื้อให้การเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างเป็นรูปธรรม

ขณะที่ พรรรัตน์ เพชรภักดี รองผู้อำนวยการใหญ่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้อำนวยการสถาบันการจัดการบรรจุภัณฑ์และรีไซเคิลเพื่อสิ่งแวดล้อม ระบุว่า สถาบันแห่งนี้ทำเรื่องการจัดการบรรจุภัณฑ์ฯมานานกว่า 17 ปี จากประสบการณ์พบว่า องค์กรธุรกิจต่างมีโครงการจัดการสิ่งแวดล้อมของตัวเองอยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญที่จะเป็น“ตัวเร่ง”ความสำเร็จของเศรษฐกิจหมุนเวียน คือ “การทำงานร่วมกัน” เป็นภาพใหญ่ระดับอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ การออกกติกาของรัฐ ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ปฏิบัติได้จริง ประเมินให้ชัดเจนว่าระบบนิเวศ(Ecosystem) เรื่องการจัดการบรรจุภัณฑ์เกี่ยวข้องกับใครบ้าง และดำเนินการไปทั้งระบบตั้งแต่ต้นทาง อย่างมีส่วนร่วม โดยจำเป็นต้องมีเป้าหมายและกติการ่วมกันที่ชัดเจน ขณะที่กฎหมายที่จะออกมาก็ควรเน้นการส่งเสริมและสนับสนุน เพื่อ “สร้างแรงจูงใจ” ให้กับภาคธุรกิจและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนเรื่องนี้ ส่วนการกำกับกติกาค่อยตามมาทีหลัง


“เรื่อง Circular Economy ไม่ใช่งานการกุศล แต่คือความอยู่รอดของธุรกิจ ต้องร่วมกันทำโดยองค์กรธุรกิจ ไม่ใช่ทำโดยสาธารณะ และระบบกลไกต่างๆต้องเอื้อให้ดำเนินการได้ด้วย” เธอกล่าวทิ้งท้าย


ข้อคิด…

นี่คือการถอดบทเรียน3องค์กรใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เราได้เห็นแนวคิดและแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม อีกทั้งยังได้สะท้อนปัญหา-อุปสรรค ในการเร่งเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาโลกร้อน

สะท้อนว่า แต่ละองค์กรตระหนักถึงผลกระทบ และได้เดินหน้าเรื่องเหล่านี้แล้ว แต่ต้องการให้รัฐปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อ สร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ยังต้องการความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการสร้างระบบและกลไกที่เกี่ยวข้อง(Ecosystem) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ รวมทั้งดำเนินนโยบายจริงจังให้หน่วยงานของรัฐการตอบรับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เป็นกระแสสนับสนุนทางด้านผู้ผลิตและด้านผู้บริโภค

หากทำได้เช่นนั้น นอกจากช่วยบรรเทาวิกฤตสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็น “โอกาส” สำหรับธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดให้เกิดขึ้นอย่างกระจายตัว เกิดประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) สร้างความยั่งยืนต่อธุรกิจ ดีต่อสังคม และดีต่อโลกโลก ไปพร้อมกัน

suwatmgr@gmail.com


กำลังโหลดความคิดเห็น