โตชิบาได้ประกาศจะเลิกใช้ถ่านหินก็ต่อเมื่อเสร็จสิ้นการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกจำนวน 10 แห่ง!!
ปัจจุบันโตชิบามีส่วนแบ่งตลาดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน (Thermal Power) ทั่วโลกไม่รวมจีนอยู่ที่ 11% ซึ่งรวมถึงการสร้างโรงไฟฟ้า การผลิตกังหันไอน้ำ และการบำรุงรักษาและบริการอื่น ๆ โดยบริษัทประกาศจะหยุดรับคำสั่งซื้อใหม่ในการสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากการเผาถ่านหิน แต่จะยังคงดำเนินการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินดังกล่าวตามคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในมือจากประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม และประเทศอื่น ๆ รวมประมาณ 10 แห่ง
นอกจากนี้ โตชิบายังวางแผนที่จะลงทุนจำนวน 160 พันล้านเยน หรือ 1.52 พันล้านดอลลาร์ ในพลังงานทางเลือก (Renewable Energy) เพื่อใช้สำหรับการดำเนินงานตลอดปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2023 และยังมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 รวมถึงการลดมลพิษทางอ้อมที่เรียกว่า Scope 3 Emission อีกด้วย
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นโยชิฮิเดะ สุกะ กำหนดเส้นตายในปี 2050 เพื่อให้ญี่ปุ่นซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกปลอดคาร์บอน ปัจจุบัน คำสั่งซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งจะปล่อยคาร์บอนต่อไปอีกหลายสิบปีของโตชิบ้านั้นได้ลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าโตชิบ้าจะมีรายได้จากคำสั่งซื้อดังกล่าวลดลง 67% เทียบกับเมื่อสองปีก่อน
ครั้งสุดท้ายกับโรงงานถ่านหินอีก 10 แห่ง ก่อนจะหมดไปตลอดไป!
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจาก 100 เป็น 0 เลยนั้นฟังดูไม่สมจริงและเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ดี โตชิบาได้กำหนดเป้าหมายและเริ่มดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว เราคงต้องอดทนรอดูต่อไปว่าโตชิบ้าจะทำได้จริงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน
เมื่อพิจารณาจากข้อมูล Arabesque
S-Ray ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความยั่งยืนของบริษัทพบว่า โตชิบ้ามีผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยรวมที่ดี โดยมี ESG
Score ที่ 58.1 จาก 100 คะแนน ซึ่งอยู่ใน Top 30% ของบริษัทในกลุ่ม Consumer Durable โดยมีคะแนนด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สูงที่สุด สูงกว่าด้านสังคม (Social) และด้านการกำกับดูแล (Governance) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความพยายามที่ผ่านมาในการดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทเริ่มจะเห็นผลแล้ว
เมื่อพิจารณาถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยพิจารณาจาก Temperature Score ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าบริษัทหนึ่งๆ มีส่วนในการทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเท่าไรจากการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันของบริษัทนั้นๆ พบว่าโตชิบ้ามีคะแนน Temperature Score ทั้งในระยะสั้น (ปี 2030) และระยะยาว (ปี 2050) ที่ 1.5 °C ซึ่งหมายความว่าการดำเนินการของบริษัทสอดคล้องกับข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในการจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไว้ให้ไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส และมุ่งสู่การจำกัดอุณหภูมิฯ ไว้ให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หรือที่เรามักได้ยินว่า Paris Agreement
เป็นที่น่าสังเกตว่า โตชิบ้ายังไม่ได้เข้าร่วมในการให้คำมั่นสัญญากับ Science Based
Target Initiative (SBTi) ซึ่งเป็นองค์กรกลางระดับโลกในการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส ซึ่งหากบริษัทเข้าร่วมจะเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซให้สำเร็จอีกทางหนึ่ง
ปัจจุบัน บริษัทต่างๆ อยู่ภายใต้แรงกดดันท่ามกลางความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการให้บริษัทมีวิธีจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยโตชิบ้าไม่ได้เป็นเพียงบริษัทเดียวในการให้คำมั่นสัญญาดังกล่าว บริษัท Siemens Energy ก็มีการประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะไม่เข้าร่วมการประมูลการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินอีกต่อไป ในขณะที่ General Electric ก็ได้ให้คำมั่นสัญญาในลักษณะเดียวกันในเดือนกันยายนที่ผ่านมา
แม้ว่าจะมีการมองโลกในแง่ดีมากมายเกี่ยวกับการประกาศคำมั่นสัญญาเหล่านี้ แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่น การเลิกใช้ถ่านหินนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะเห็นว่าญี่ปุ่นมีการพึ่งพาถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 28% ในปี 2010 เป็น 32% ในปี 2018 แม้ว่าประเทศอื่น ๆ จะลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงประเภทนี้แล้วก็ตาม เราหวังว่าความมุ่งมั่นในการเลิกใช้ถ่านหินในอุตสากรรมต่างๆ และในประเทศต่างๆ จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง
บทความโดย ธัญญรัศม์
ริลินเกอร์, Arabesque
S-Ray ผู้ให้บริการข้อมูล คำปรึกษา และโซลูชั่นด้านความยั่งยืน (ESG) โดยมีการประเมินความยั่งยืนในมิติต่างๆของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ข้อมูลอัพเดททุกวัน