xs
xsm
sm
md
lg

โคคา-โคลา, เนสท์เล่ และเป๊ปซี่โค ผู้ก่อมลพิษขยะพลาสติกระดับโลก/ ธัญญรัศม์ ริลินเกอร์ Arabesque S-Ray

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


Photo Credit : www.cleanfuture.co.in/
บริษัท โคคา-โคลา, เนสท์เล่ และเป๊ปซี่โค ได้รับการจัดอันดับเป็นผู้ก่อมลพิษขยะพลาสติกมากที่สุดสามอันดับแรกของโลกจากรายงาน Brand Audit ประจำปีที่จัดทำโดย Break Free From Plastic องค์กรเอ็นจีโอซึ่งมีสมาชิกกว่า 8,000 แห่งทั่วโลกในการร่วมกันเคลื่อนไหวให้มีการลดการใช้พลาสติกและแก้ปัญหาวิกฤตมลพิษขยะพลาสติก

เป๊ปซี่โค เริ่มทดลองใช้พลาสติกรีไซเคิลในปี 1990 โดยมีการเปิดตัวขวดพลาสติกแบบใหม่ที่มีวัตถุดิบเป็นพลาสติกรีไซเคิล 25% แต่บริษัทได้ยอมแพ้และล้มเลิกการใช้พลาสติกรีไซเคิลในตอนท้ายของทศวรรษที่ผ่านมา ในช่วงเวลาเดียวกัน โคคา – โคลา คู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ เป๊ปซี่โค ก็ได้เปิดตัวขวดพลาสติกใหม่ที่ใฃ้พลาสติกรีไซเคิล 25% เฃ่นกัน แต่ก็เลิกใช้อย่างรวดเร็วในปี 1994 เนื่องจากมีต้นทุนสูง

ในส่วนของเนสท์เล่ เจ้าของแบรนด์ต่างๆ เช่น Nescafé และ Pure Life ได้ตั้งเป้าหมายในปี 2008 ในการผลิตขวดน้ำจากพลาสติกรีไซเคิล 60% ทั่วสหรัฐอเมริกาภายในหนึ่งทศวรรษ แต่เนสท์เล่ไม่เคยบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวเลย เนสท์เล่ยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยานมากเกินไป ประกอบกับไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมหรือผู้กำหนดนโยบาย เนสท์เล่ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการหาพลาสติกจากแหล่งรีไซเคิลเป็นเรื่องยาก และบ่อยครั้งยังมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับวัสดุรีไซเคิลอีกด้วย

ตั้งเป้าหมาย, พลาดเป้าหมาย, ทําซ้ําอีกครั้ง... ปัจจุบัน ทั้งสามบริษัท โคคา-โคลา, เนสท์เล่ และ เป๊ปซี่โค ต่างก็ให้คำมั่นสัญญาใหม่ โดยในปี 2018 ได้มีการกำหนดเป้าหมายการลดการใฃ้พลาสติก ดังนี้

- โคคา-โคลา กำหนดเป้าหมายใหม่ในการใช้พลาสติกรีไซเคิลที่ 50% สำหรับบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2530 โดย ปัจจุบันมีการใฃ้พลาสติกรีไซเคิลอยู่ที่ 20% และประมาณครึ่งหนึ่งเป็นการใช้พลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET)


- เป๊ปซี่โค กล่าวว่าจะใช้พลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ที่อัตรา 25% ภายในปี 2025 โดย ณ เดือนกันยายน 2019 อยู่ที่ 4%


- เนสท์เล่ ให้คำมั่นว่าจะใช้พลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์อย่างน้อยที่ 15% ภายในปี 2025 โดยอัตราการใฃ้พลาสติกรีไซเคิลของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 3% เพิ่มขึ้นจาก 2% ณ วันที่ให้คำมั่นในปี 2018

แม้ว่าการกำหนดเป้าหมายและการให้คำมั่นสัญญาในการลดการใฃ้พลาสติกของบริษัทต่างๆ อาจฟังดูน่าประทับใจ อย่างไรก็ดี สิ่งที่สำคัญคือการตรวจสอบตัวเลขว่าสามารถทำได้จริงมากน้อยแค่ไหน ใกล้เคียงหรือเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ จากข้อมูล Arabesque S-Ray ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความยั่งยืนของบริษัททั่วโลก พบว่า เนสท์เล่ มี ESG Score สูงสุดที่ 60.88 คะแนน ตามด้วย เป๊ปซี่โค ที่ 53.35 คะแนน ขณะที่ โคคา-โคลา รั้งตำแหน่งสุดท้ายด้วยคะแนน 51.89 จากคะแนนเต็มที่ 100 คะแนน (ข้อมูลคะแนน ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2563)

ทั้งนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่เนสท์เล่จะมีคะแนนความยั่งยืน ESG Score สูงกว่า เป๊ปซี่โค และ โคคา-โคลา เนื่องจากเนสท์เล่มีความหลากหลายของธุรกิจมากที่สุด จึงได้รับประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจนั่นเอง เราคงต้องมาจับตาดูกันต่อว่าทั้งสามบริษัทจะสามารถบรรลุเป้าหมายในครั้งนี้ได้หรือไม่

เรายังพบข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่า ทั้งสามบริษัทดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับหลักการของกรอบความร่วมมือการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (United Nation Global Compact: UNGC) ซึ่งเป็นเครือข่ายการพัฒนาความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยประกอบด้วยหลักการที่สำคัญทั้ง 4 ประการ ได้แก่ สิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม และการต่อต้านการทุจริต จากข้อมูล Arabesque S-Ray ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2563 โคคา-โคลา มี UNGC Score อยู่ที่ 61.43 คะแนน เทียบกับ เนสท์เล่ 59.18 คะแนน และ เป๊ปซี่โค 57.48 คะแนน (ข้อมูลคะแนน ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2563) UNGC Score นี้เป็นตัววัดความเสี่ยงด้านชื่อเสียงที่ของบริษัทตามหลักการของ UNGC ต่างจาก ESG Score ที่ใฃ้หลักการความมีสาระสำคัญทางกการเงิน หรือที่เรียกว่า Financial Materiality โดยบริษัทที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าในการสร้างผลตอบแทนทางการเงินในระยะยาวก็จะมีคะแนนมากกว่า จะเห็นว่าการประเมินความยั่งยืนขึ้นอยู่กับมุมมอง และโฟกัสที่ผู้ใฃ้งานต้องการ ความยั่งยืนไม่ได้มีเพียงคำจำกัดความเดียว หรืออีกนัยหนึง ไม่มีคำจำกัดความของความยั่งยืนใดที่จะประยุกต์ใช้ได้กับทุกกรณี

เราจะเห็นได้ชัดว่า การที่บริษัททั่วโลกไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลดการใช้พลาสติก ทั้งจากการการลงทุนที่ไม่เพียงพอและอัตราการรีไซเคิลพลาสติกโพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต หรือ PET ที่ต่ำนั้น จะไม่ช่วยแก้ปัญหาวิกฤตขยะพลาสติก และอันตรายจากขวดน้ำพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง บริษัททั้งหลายจะต้องออกแบบระบบการจัดส่งใหม่ในการขายผลิตภัณฑ์เครื่องดิ่มของตน โดยไม่จำเป็นต้องใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง และเราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการทำลายห่วงการสร้างมลพิษจากขยะพลาสติกนี้

บทความโดย ธัญญรัศม์ ริลินเกอร์ Arabesque S-Rayผู้ให้บริการข้อมูล คำปรึกษา และโซลูชั่นด้านความยั่งยืน
โดยมีการประเมินความยั่งยืนในมิติต่างๆของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก ข้อมูลอัพเดททุกวัน



กำลังโหลดความคิดเห็น