ผู้บริหารเซ็น กรุ๊ประบุหลังหุ้นร่วงหนักมีแนวคิดซื้อหุ้นคืนเพื่อพยุงราคา พร้อมเข้มงวดเรื่องความสะอาดโดยเฉพาะกลุ่มพนักงานที่ให้บริการในร้านอาหารเพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมทั้งเตรียมแผนรับมือหากสถานกาณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เข้าสู่ระดับ 3
นายบุญยง ตันสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่ามีแนวคิดซื้อหุ้นคืนเพื่อพยุงราคาหุ้น ซึ่งขณะนี้หุ้นตกลงมากอยู่ที่ประมาณ 7 บาทต่อหุ้น แต่ต้องพิจารณาสภาพคล่องและสถานการณ์ตลาดอีกครั้ง
ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมาพบว่าจำนวนคนที่มาเดินห้างเพื่อซื้อสินค้าหรือรับประทานอาหารลดลงต่อเนื่องกระทบต่อจำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการภายในร้านอาหารแบรนด์ของเซ็นกรุ๊ป ซึ่งมีสัดส่วน 60% ตั้งอยู่ภายในห้างสรรพสินค้า ลดลงประมาณ 20% และคาดว่าจะกระทบต่อรายได้รวมของบริษัทในช่วงแรกให้ลดลง สอดคล้องกับภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารในไทยปีนี้ที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตลดลงประมาณ 5-10% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 410,000-420,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีมูลค่าตลาดรวม 440,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ยอมรับว่าไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งในส่วนของเซ็น กรุ๊ป เตรียมแผนรับมือระดับ 3 เพื่อเตรียมความพร้อมกรณีต้องให้พนักงานทำงานที่บ้าน รวมทั้งมีการวัดไข้พนักงานโดยเฉพาะกลุ่มที่ให้บริการในร้านอาหาร และมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อภายในร้านอาหารอย่างเข้มงวด
สำหรับแผนธุรกิจของบริษัทฯ ปี 2563 มั่นใจว่าจะขยายสาขาแบรนด์ “เขียง” เพิ่มขึ้นอีก 100 สาขาจากปัจจุบันที่มี 60 สาขา ตามเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเป็นแบรนด์เน้นขยายสาขาในสถานีบริการน้ำมัน ตามสำนักงานหรือออฟฟิศในย่านธุรกิจ ล่าสุดร่วมมือกับกลุ่มบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลมแบรนด์โคคา-โคลา ในพื้นที่ภาคใต้ 14 จังหวัด ตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท กินดีอยู่ดี 2020 จำกัด โดย บมจ.หาดทิพย์ ถือหุ้น 75% ผ่านบริษัท หาดทิพย์ ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอร์เรจเจส จำกัด และ บมจ. เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป ถือหุ้น 25% ผ่าน บมจ.เซ็น แอนด์ สไปซี่ จำกัด เพื่อรองรับการขยายร้านเขียงในภูมิภาคให้รวดเร็วและครอบคลุมทุกพื้นที่
นอกจากนี้ เซ็น กรุ๊ปยังมีบริการดีลิเวอรี ที่ขณะนี้ยอดขายอาหารผ่านบริการดีลิเวอรีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามพฤติกรรมของผู้บริโภค จึงคาดว่าปีนี้จะมียอดขายอาหารผ่านดีลิเวอรีมากกว่า 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 120 ล้านบาท