xs
xsm
sm
md
lg

ปฐมบทแห่งการฟื้นฟู ‘พญาแร้ง’ เทศบาลประจำป่า คืนสู่ธรรมชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ฝูงพญาแร้ง ที่กำลังกินซากสัตว์ สูญหายไปจากธรรมชาติยาวนานแล้ว
การดำรงอยู่ของพญาแร้ง แสดงถึงความครบครันของธรรมชาติ ด้วยบทบาทของ ‘เทศบาลประจำป่า’ คอยทำหน้าที่ทำความสะอาด โดยการกินซากสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งทำให้ระบบนิเวศในผืนป่าเกิดความสมดุล และคงความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ในปัจจุบัน พญาแร้งสูญหายไปจากธรรมชาติยาวนานกว่า 30 ปีมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กำลังจะเป็นปฐมบทแห่งการฟื้นฟูพญาแร้งให้คืนสู่ป่าห้วยขาแข้ง ภายใต้โครงการ ‘การฟื้นฟูประชากรพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย’ จัดตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ 4 องค์กร ได้แก่ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

จุดเริ่มต้นได้มีการนำพญาแร้งในกรงเลี้ยงที่มีอยู่ในประเทศ 5 ตัวมาผสมพันธุ์เพื่อให้เกิดหน่อเนื้อในการขยายพันธุ์และปล่อยคืนสู่ผืนป่า ส่วนความคืบหน้าล่าสุดมีการกำหนดเป้าหมายแล้วว่า อีก 2 เดือน เรือนหอของเจ๊มิ่ง (พญาแร้งแม่พันธุ์ จากสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง) และเฮียป๊อก (พญาแร้งพ่อพันธุ์ จากสวนสัตว์นครราชสีมา) ก็จะแล้วเสร็จ ทันเวลาฤดูผสมพันธุ์รอบใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป โดยให้ทั้งคู่ย้ายเข้ามาอยู่ในกรงเพาะพันธุ์ขนาดใหญ่ ที่หน่วยซับฟ้าผ่า กลางป่าห้วยขาแข้ง

ชัยอนันต์ โภคสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์สวนสัตว์ องค์การสวนสัตว์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้อธิบายว่า ความหวังของโครงการตอนนี้ คือ ‘ป๊อก’ พญาแร้งเพศผู้จากสวนสัตว์นครราชสีมา ที่ถูกย้ายมาเทียบคู่กับ ‘มิ่ง’ พญาแร้งเพศเมียที่อยู่ในการดูแลของสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง“ความหวังของเรา คืออยากให้เขามีลูกและทำรังวางไข่ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้มีกระบวนการศึกษาวิจัยแล้วว่า ห้วยขาแข้ง เป็นสถานที่ที่เหมาะสมและอำนวยต่อการฟื้นฟูพญาแร้งที่สุด เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และในอดีตเคยเป็นถิ่นฐานอาศัยของพญาแร้งเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว”

ขณะที่ ผศ.น.สพ.ดร.ไชยยันต์ เกษรดอกบัว หัวหน้าหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อเพื่อปล่อยคืนธรรมชาติ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า เรื่องการฟื้นฟูประชากรพญาแร้ง ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่วงการอนุรักษ์ต้องทำ แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักทางวิชาการที่ว่า พญาแร้งเพศเมียเป็นผู้ครอบครองอาณาเขต และเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าตัวเองจะเลือกเพศผู้ตัวใดเป็นคู่ครอง

ดังนั้นตอนนี้จึงต้องให้ ‘มิ่ง’ พญาแร้งเพศเมียที่ไม่เคยต้องมือชายใดมาก่อน ทำความรู้จักมักคุ้นกับ ‘ป๊อก’ ซึ่งทางศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ได้ให้พญาแร้งเพศผู้ที่ถูกอิมพอร์ตจากเมืองย่าโม อาศัยอยู่กรงข้างๆ มิ่งโดยมีเพียงรั้วตาข่ายโปรงแสงกั้นไว้ เพื่อให้ทั้งคู่มองเห็นซึ่งกันและกันได้

ในระหว่างการดูใจนี้ นักวิจัยจะต้องคอยเก็บข้อมูลและติดตามพฤติกรรมของทั้งคู่ ว่าพร้อมที่จะ ‘เข้าหอ’ แล้วหรือยัง ซึ่งหากป็อกและมิ่งมีเคมีตรงกันและพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ทางคณะทำงานก็จะย้ายทั้งคู่มาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และเข้าสู่การผสมพันธุ์ในกรงขนาดใหญ่ที่กำลังจะถูกสร้างขึ้นในบริเวณหน่วยพิทักษ์ป่าซับฟ้าผ่า เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

“หากถึงขั้นตอนการผสมพันธุ์ เราจะย้ายทั้งคู่เข้าไปที่กรงขนาดใหญ่ที่หน่วยซับฟ้าผ่า เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับสภาพอากาศ สภาพพื้นที่ เพราะเราหวังว่าในอนาคตทั้งคู่จะผลิตลูกออกมาได้ ซึ่งจากข้อมูลพญาแร้งจะวางไข่ครั้งละ 1 ใบ และมีวงรอบการผสมพันธุ์ทุก 2 ปี (คือวางไข่ปีเว้นปี) ตอนนั้นเราก็จะดำเนินการเลี้ยงลูกของพวกมันให้โตข้ามปี แล้วก็ปล่อยสู่ธรรมชาติ ซึ่งมิ่งและป๊อกจะทำหน้าที่เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ เป็นบรรพบุรุษของประชากรพญาแร้งในป่าห้วยขาแข้งต่อไป”

มิ่ง พญาแร้งแม่พันธุ์ จากสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าห้วยขาแข้ง

ป๊อก พญาแร้งพ่อพันธุ์ จากสวนสัตว์นครราชสีมา
พญาแร้ง นกวงศ์ผู้ล่า

พญาแร้งเป็นนกขนาดใหญ่ เป็นสัตว์ในวงศ์เหยี่ยว (Family Accipitridae) หรือนกวงศ์ผู้ล่า (Bird of Prey) มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต ในประเทศไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535

มีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ มักหากินอยู่ตามพื้นที่โล่งแจ้ง โดยมักจะบินร่อนเป็นวงกลมบนท้องฟ้าระดับสูง สามารถร่อนกลางอากาศอยู่นานนับชั่วโมง โดยไม่ต้องกระพือปีก พบมากในทวีปเอเชียแถบประเทศอินเดีย จีน พม่า และอินโดจีน
การทำหน้าที่ของพญาแร้งในฐานะนกเทศบาล พวกเขาเป็นผู้ที่ทำให้ระบบนิเวศในผืนป่าเกิดความสมดุล และคงความหลากหลายทางชีวภาพ หากที่ไหนมีพญาแร้งพื้นที่แห่งนั้นจะต้องมีซากสัตว์ และแสดงว่าต้องมีสัตว์ป่าผู้ล่าอาศัยอยู่ ทำให้เห็นว่านกเทศบาลตัวนี้ คือสิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งชนิดที่เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าใหญ่

นอกจากการมีอยู่ของพญาแร้งจะแสดงให้เห็นถึงความครบครันของธรรมชาติแล้ว การกำจัดซากสัตว์ของพญาแร้ง ย่อมเป็นการตัดวงจรการขยายพันธุ์ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นและอาศัยอยู่ในตัวสัตว์ป่านั้นๆ ซึ่งหากมองในมุมด้านสุขอนามัย พญาแร้งจึงถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในฐานะผู้ดูแลสุขภาพของผืนป่าให้ปลอดภัยปราศจากโรคร้าย

อย่างไรก็ตาม ในด้านความเชื่อของมนุษย์ สัตว์ตระกูลแร้งมักถูกมองในแง่ลบเกี่ยวกับเรื่องความตาย และถือเป็นสัตว์อัปมงคล หัวหน้าหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อฯ อธิบายว่า เดิมทีคนไทยได้รับข้อมูลเรื่องความเชื่อมากกว่าหลักข้อเท็จจริง เพราะในอดีตการพัฒนาด้านการวิจัยสัตว์ป่ายังมีน้อย และส่วนใหญ่เรื่องราวของสัตว์กินซากชนิดนี้ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อออกไปในด้านลบมาโดยตลอด

ดังนั้นจึงมีความเชื่อฝังลึกว่า พญาแร้งหรือแร้งชนิดอื่น ๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งความอัปมงคล แต่เชื่อว่าหากวงการวิชาการและองค์กรสื่อสารมวลชน ร่วมมือกันเผยแพร่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณูปการของพญาแร้ง ประชาชนหรือคนในชุมชนที่อยู่บริเวณใกล้ถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า ก็ย่อมจะมีมุมมองและทัศนคติที่ดีขึ้นต่อสัตว์ตระกูลนกล่าเหยื่อชนิดนี้ให้กลับมาคงอยู่กับธรรมชาติ

ข้อมูลและภาพอ้างอิง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, เพจเฟซบุ๊ก โครงการ “การฟื้นฟูประชากรพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย”



คณะทำงาน ภายใต้โครงการ ‘การฟื้นฟูประชากรพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น