บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ โดยโรงงานแปรรูปเนื้อไก่และอาหารแปรรูปสระบุรี และโรงงานแปรรูปเนื้อไก่นครราชสีมา เป็นองค์กรนำร่องเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) จากการผลิตไบโอดีเซล เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนภายในโรงงาน
สืบเนื่องจากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ T-VER ปี 2557 โดยองค์การบริหารการจัดการก๊าซเรือนกระจก ในฐานะหน่วยงานทำหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศซึ่งได้พัฒนากลไกและเครื่องมือในการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจในประเทศไทย ชื่อว่า “โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย” หรือ Thailand Voluntary Emission Reduction Program (T-VER) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคส่วนต่างๆ ในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งที่ได้แสดงเจตจำนงการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ร้อยละ 7-20 จากการดำเนินงานตามปกติ ภายในปี 2563
เล็งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 5,000 ตัน
ชาตรี รชตะสมบูรณ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เปิดเผยว่านับเป็นโอกาสดี ที่ซีพีเอฟได้เป็นส่วนหนึ่งในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับหลักค่านิยมของซีพีเอฟ เรื่อง 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ทำให้เราช่วยประเทศชาติ ในด้านลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่วนชุมชนและสังคม เราตัดตอนน้ำมันพืชที่ใช้แล้วออกสู่ท้องตลาดเพราะน้ำมันพืชเก่าเป็นของเสียที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคหากถูกนำไปใช้ซ้ำ จึงนำไปทำเป็นพลังงานทางเลือกใช้ทดแทนน้ำมันดีเซลได้ ขณะเดียวกันด้านพนักงานของซีพีเอฟ เราส่งเสริมให้ตระหนัก และมีจิตสำนึกในการช่วยกันอนุรักษ์พลังงาน
“เชื่อมั่นว่าหลังจากดำเนินโครงการนี้จะช่วยประหยัดการนำเข้าน้ำมันดีเซลได้ปีละ 1 ล้านลิตร คิดเป็นเม็ดเงินที่ประเทศไทยสามารถประหยัดเป็นมูลค่า 29 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี”
ต้นแบบการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้ว
ขณะที่ กุหลาบ กิมศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สำนักระบบมาตรฐานสากล ซีพีเอฟ กล่าวเสริมว่าโครงการ TVER ช่วยรณรงค์เรื่องลดภาวะโลกร้อนซึ่งซีพีเอฟเข้าร่วมโครงการลดภาวะโลกร้อนมาหลายโครงการก่อนหน้านี้ เช่น ทำคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของผลิตภัณฑ์อาหารตั้งแต่ปี 2551 ทำให้ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ซีพีเอฟที่ขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นต์แล้ว 145 ผลิตภัณฑ์ และทั้งสองโรงงานแปรรูปไก่ ที่สระบุรี และนครราชสีมา ก็ได้เข้าร่วมโครงการจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของผลิตภัณฑ์ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่ทั้งสองโรงงานนี้ได้ทำเพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ อาทิ การใช้ไบโอแก๊ส การผลิตไบโอแก๊สจากน้ำเสีย เพื่อนำไปผลิตไอน้ำ และยังมีเรื่องพลังงานทางเลือกอื่นๆ ของโรงงาน เช่น โคเจนเนอเรชั่น สำหรับโครงการผลิตไบโอดีเซลนี้เห็นผลชัดเจนเพราะเป็นการนำน้ำมันพืชใช้แล้วมาใช้ประโยชน์โดยการผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซล ซึ่งปกติเราต้องนำน้ำมันพืชใช้แล้วเป็นของเสียที่จะต้องนำไปทิ้ง และจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นต้นเหตุของการสร้างภาวะโลกร้อน โครงการนี้จึงนับเป็นโครงการที่ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ที่เกิดขึ้นในโรงงาน และส่งผลดีทำให้สินค้าซีพีเอฟมีคาร์บอนต่ำ
โครงการฯ ดังกล่าวเปิดโอกาสให้เราเปลี่ยนไปใช้พลังงานจากของเสียที่จะทิ้งนำมาทำเป็นพลังงานทดแทน ทำให้เห็นต้นแบบในการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลจากน้ำมันพืชใช้แล้วมาก่อให้เกิดประโยชน์ ช่วยทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลซึ่งเป็นพลังงานที่ได้จากฟอสซิล ส่งเสริมการดำเนินการภายในโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากโรงงานนี้ต่ำ ย่อมสร้างแรงกระตุ้นให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และหากผู้บริโภคเลือกบริโภคสินค้าที่มีคาร์บอนต่ำเพิ่มขึ้น สุดท้ายเราก็จะบรรลุความตั้งใจที่ต้องการไปสู่สังคมที่มีคาร์บอนต่ำ ถ้าซีพีเอฟทำได้ ประเทศไทยก็จะมีต้นแบบที่ดีในการพัฒนาโครงการแบบนี้ต่อไป ซึ่งประชาชนทั่วไปก็สามารถมีส่วนร่วมได้ ด้วยการเก็บน้ำมันพืชใช้แล้วที่บ้านนำกลับมาใช้ประโยชน์ ด้วยการนำไปผลิตไบโอดีเซลได้เช่นกัน เชื่อว่าในอนาคตจะเห็นผลชัดเจนว่าในภาคครัวเรือนก็ทำได้ ในภาคอุตสาหกรรมก็ทำได้