กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเผยผลงาน 3 ปี (2555-2557) ประหยัดได้ 2,055 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบมูลค่ากว่า 67,000 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบ 7 พันล้านบาทลุยโครงการปี 58 เน้นต้องเห็นผลชัดเจน
พลเอก อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในฐานะประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ (กทอ.) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2557 ที่ประชุมได้พิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 วงเงิน 6,943 ล้านบาท แบ่งเป็น แบบงานตามแผนที่หน่วยงานคิดและวางแผนไว้แล้ว 5,944 ล้านบาท และแบบวงเงินรวม (Block Grant) ประมาณ 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ประกาศให้ทุนสนับสนุนแก่โครงการอื่นๆ ตามความเหมาะสม เช่น ทุนวิจัยด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน การลงทุนเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรมการดำเนินงานในระดับชุมชน เป็นต้น
“การจัดสรรงบกองทุนปีนี้ได้พยายามกระจายให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จะแบ่งออกได้ 8 กลุ่ม ได้แก่ 19% กลุ่มชุมชน 13% หน่วยงานภาครัฐ 22% หน่วยงานความมั่นคง 23% ภาคเอกชน 9% งานศึกษาวิจัย 7% งานประชาสัมพันธ์ 4% งานพัฒนาบุคลากร และ 2% เป็นงานบริหาร” พล.อ.อุดมเดชกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินโครงการต่างๆ ในปี’ 58 จะช่วยลดการใช้พลังงานลงได้อีก 227 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี คิดเป็นมูลค่า 7,350 ล้านบาท/ปี และช่วยบรรเทาการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้พลังงานลงได้ 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ โดยยังคงกำกับดูแลการใช้พลังงานในอาคารภาครัฐกว่า 10,000 หน่วยงาน การใช้พลังงานในภาคเอกชนที่เป็นอาคารควบคุม 2,250 แห่ง และโรงงานควบคุม 5,500 แห่ง โดยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นด้วยการมีมาตรฐานการใช้พลังงานมากำกับ และเพิ่มการช่วยเหลือ SMEs ให้มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนรายจ่ายด้านพลังงาน เป็นต้น
และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจได้ว่าการปฏิบัติงานตามแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและสามารถสร้างผลงานที่สอดคล้องตามเป้าประสงค์หรือจุดมุ่งหมายที่วางเอาไว้ กทอ.จึงได้มอบคณะอนุกรรมการกองทุนในการกำกับดูแลโดยให้มีรายงานผลการดำเนินงานทุก 4 เดือนเป็นอย่างน้อย และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลขึ้นอีกคณะหนึ่ง เพื่อช่วยประเมินผลการดำเนินงาน รายงานจากคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะจะเป็นตัวบ่งชี้ผลสำเร็จ ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้น จะเป็นข้อมูลแก่ กทอ.ในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปและจะรายงานผลอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ให้สาธารณชนรับทราบต่อไป