xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลก มุ่งลงทุนรถยนต์ใช้แก๊ส หวังช่วยลดโลกร้อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การปรับตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
เคพีเอ็มจี เผยผลสำรวจด้านยานยนต์ ชี้ชัดผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลกมุ่งลงทุนรถยนต์พลังงานแก๊สเป็นหลักถึงปี 2018 ส่วนลงทุนรถปลั๊กอินไฮบริดเป็นอันดับสอง ขณะที่ความกระตือรือร้นใช้รถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าอย่างเดียวลดลง คาดว่าส่วนแบ่งตลาดในบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน (กลุ่มประเทศบีอาร์ไอซี) สูงขึ้นร้อยละ 50 ในขณะที่ตลาดของผู้ผลิตยานยนต์ในกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีมีโอกาสขยายตัวมากที่สุดในยุโรปตะวันออก ส่วนตัวแทนจำหน่ายมีบทบาทลดลง เหตุการซื้อขายผ่านออนไลน์ขยายตัว
เคพีเอ็มจี เผิดเผยผลการสำรวจผู้บริหารยานยนต์โลกนานาชาติครั้งที่ 14 ว่า ขณะที่สาธารณชนใส่ใจกับประสิทธิภาพของการประหยัดเชื้อเพลิงเป็นหลัก บรรดาผู้ผลิตยานยนต์โลกก็ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตยานยนต์มีแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้เครื่องยนต์สันดาปภายใน นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะลงทุนในระบบเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดไปจนถึงปี 2018
รายงาน Managing a Multidimensional Business Model [http://www.kpmg.com/TH/en/ IssuesAndInsights/ArticlesPublications/Pages/2013AutoSurvey.aspx] ซึ่งสำรวจเหล่าผู้บริหารด้านยนต กรรม 200 คน จาก 31 ประเทศ ชี้ว่า ทั้งความไม่แน่นอนในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และแนวโน้มใหม่ของโลกาภิวัตน์การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอุตสาหากรรมยานยนต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีผลกระทบต่อห่วงโซ่ของการผลิตยานยนต์ และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวทางการประกอบธุรกิจของบรรดาผู้ผลิตยานยนต์ ไปจนถึงผู้ผลิตอะไหล่ยานยนต์
นายมาธิเยอ เมเยอร์ หัวหน้าใหญ่กลุ่มอุตสาหากรรมยานยนต์ และพาร์ทเนอร์ของเคพีเอ็มจี เยอรมัน กล่าวว่า “สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้โครงสร้างธุรกิจของผู้ผลิตยานยนต์มีความซับซ้อนขึ้นเป็นอย่างมาก ในขณะที่ในอดีตบรรดาผู้ผลิตยานยนต์เพียงแค่มุ่งทำการผลิตรถยนต์แบบมีเครื่องยนต์สันดาปภายในเท่านั้น แต่ปัจจุบันผู้ผลิตยานยนต์ต้องรับมือกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนสารพัด แนวโน้มใหม่ๆ ของการใช้รถร่วมกัน การมีอินเทอร์เน็ตใช้ในรถ รวมทั้งการเติบโตขึ้นของตลาดใหม่ๆ ที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเลยทีเดียว”
ส่วนการคำนึงถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ขณะนี้ คือการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดให้เครื่องยนต์สันดาปภายในและการลงทุนในเทคโนโลยีไฮบริดจ์ปลั๊กอิน
จากผลตอบแบบสอบถามพบว่า ปัจจัยหลักที่ไช้ในการตัดสินใจซื้อรถของผู้บริโภคร้อยละ 92 คือประสิทธิภาพของการใช้เชื้อเพลิง ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ตกจากอันดับ 2 ในการสำรวจยานยนต์โลกของเคพีเอ็มจีในปี 2012 ไปสู่อันดับ 4 ในปีนี้
ร้อยละ 29 ของผู้บริหารในอุตสาหากรรมอุปกรณ์รถยนต์ หรือ โออีเอ็ม กล่าวว่า ผู้ผลิตยานยนต์ส่วนใหญ่จะลงทุนเพื่อการลดขนาดและการพัฒนาประสิทธิภาพให้เทคโนโลยีการสันดาปภายใน ผู้ประกอบการโออีเอ็มของจีนและบราซิลต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยบริษัทร้อยละ 40 จากจีนและ ร้อยละ 37 จากบราซิลกำลังลงทุนในเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนแบบดั้งเดิมอยู่
ขณะที่ผู้บริหารมากกว่าครึ่งหนึ่ง บอกว่าก ารทำให้เทคโนโลยีสันดาปภายในมีประสิทธิภาพสูงสุดจะทำให้เกิดการผลิตเครื่องยนต์ที่สะอาดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในอีก 6 ถึง 10 ปีข้างหน้า
นายเมเยอร์ กล่าวว่า ผู้ผลิตยานยนต์ตระหนักมากขึ้นว่า เทคโนโลยีสันดาปภายในยังสามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพได้สูงขี้นอีก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนทิศทางของมุมมองและมีสัญญาณว่าเทคโนโลยีใหม่นั้นจะปรากฏขึ้นช้ากว่าที่คาดกันไว้ในตอนแรก
ผู้ประกอบการโออีเอ็มร้อยละ 24 จะลงทุนในเทคโนลีแบบปลั๊กอินไฮบริดจ์ ในขณะที่ร้อยละ 8 กล่าวว่าบริษัทจะลงทุนในเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่
ด้านแผนการลงทุนของ ผู้ประกอบการโออีเอ็มสอดคล้องกับความต้องการเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้บริโภคต้องการด้วย ร้อยละ 36 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งคาดว่าผู้บริโภคจะมีความต้องการในเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดจ์พุ่งขึ้นสูงสุดในอีก 5 ปีต่อจากนี้ และรองลงมาจะเป็นเทคโนโลยีไฮบริดจ์ที่ไม่ใช้ปลั๊กอิน คิดเป็นร้อยละ 20 ที่เคยเป็นที่ต้องการอันดับ 1 ในการสำรวจเมื่อปี 2012 ส่วนที่ตามห่างมาเป็นอันดับที่ 5 คือเทคโนโลยีที่ใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้าแต่เพียงอย่างเดียว คิดเป็นร้อยละ 11
นายเมเยอร์กล่าวว่า มุมมองที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับรถยนต์ไฮบริดจ์ รถยนต์ปลั๊กอิน รถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิง และรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ไฟฟ้านั้นสะท้อนให้เห็นถึงความไม่แน่นอนว่าในบรรดาเทคโนโลยีเหล่านี้เทคโนโลยีใดกันแน่จะเป็นเทคโนโลยีที่ครอบครองตลาด ในระยะสั้นผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลมีแนวโน้มที่จะนิยมรถยนต์ไฮบริดจ์ ในขณะที่กลุ่มบริการรถเช่าอาจหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากัน อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าอย่างเดียว อาจจะไม่สามารถอยู่รอดในตลาดได้

ประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งฝั่งภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐก็คือ ในขณะที่กำลังวางแผนเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องมองด้วยว่าการจัดการโครงสร้างพื้นฐานในการเติมพลังงานไฟฟ้าให้กับยานยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากในราคาที่ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายได้จะเกิดขึ้นเมื่อไรและในระดับใด
ขณะที่นายมัญชุภา สิงห์สุขสวัสดิ์ หัวหน้ากลุ่มอุตสาหากรรมยานยนต์ และพาร์ทเนอร์ของเคพีเอ็มจีประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นได้จากการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายที่จะเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้สอดคล้องกับอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2016 นอกจากนี้ ยังเห็นได้ว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของยอดจัดจำหน่ายรถยนต์ไฮบริดจ์ในตลาดประเทศไทยใน 1-2 ปีที่ผ่านมาด้วย
โลกาภิวัตน์: ส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มบีอาร์ไอซีและการส่งออกของบีอาร์ไอซี
ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบร้อยละ 86 มองเห็นแนวโน้มที่เด่นชัดของการเติบโตของตลาดในกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีและตลาดกำเนิดใหม่อื่นๆ
ในความเป็นจริงแล้ว โดยเฉลี่ยนั้นผู้ตอบแบบสอบถาม 6 คนจาก 10 คน กล่าวว่า จะเพิ่มการลงทุนในกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซี ซึ่งคาดการณ์กันว่ากลุ่มนี้จะมียอดขายยานพาหนะเกือบร้อยละ 50 ของยอดขายทั่วโลกภายในปี 2018 จีนเป็นประเทศที่มีผู้สนใจลงทุนมากที่สุด รองลงมาจะเป็นประเทศอินเดีย รัสเซีย และบราซิลตามลำดับ
ไม่ใช่เพียงแค่บรรดาผู้ผลิตยานยนต์ในกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีจะคาดหวังว่าจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลของยอดขายยานพาหนะในกลุ่มเท่านั้น แต่ผู้ผลิตยานยนต์ในกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีก็เริ่มมองการส่งออกไปยังตลาดใหม่ๆ ในช่วง 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า โดยมีการมองว่าการเติบโตที่สูงสุดจะอยู่ในยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
นอกเหนือไปจากการส่งออกแล้ว ยังมีการคาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีจะตั้งฐานการผลิตให้ใกล้กับตลาดตะวันตก ในทวีปอเมริกา ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 39 คาดว่าประเทศเม็กซิโกจะเป็นฐานการผลิตสำหรับตลาดยุโรป ในขณะที่ร้อยละ 70 มองว่าฐานการผลิตน่าจะไปอยู่ที่ยุโรปตะวันออกมากกว่า
โดยในยุโรปตะวันออกมีโอกาสเป็นฐานการผลิตยานยนต์และมีศักยภาพที่ตลาดในภูมิภาคจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นคาดได้เลยว่าความสำคัญของภูมิภาคนี้จะเพิ่มมากขึ้นในบทบาทด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตอันใกล้นี้
การรับมือกับการผลิตอันล้นเกิน
ในขณะที่บรรดาบริษัทบริษัทผู้ประกอบการโออีเอ็มแข่งขันกันในตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราเติบโตสูง การลดลงของทั้งยอดขายและการผลิตยังคงเป็นปัญหาหลักโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตก ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากคาดว่าจะมีการลดลงของทั้งยอดขายและการผลิตในสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ส่วนร้อยละ 40 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่ายอดขายในตลาดสหรัฐอเมริกาจะคงที่หรือไม่ก็จะเพิ่มขึ้น
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่จากกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีและจากประเทศอินโอนีเซีย มาเลเซีย เม็กซิโก และแอฟริกาใต้คาดการณ์ถึงยอดขายยานยนต์ว่ามีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น เพื่อที่จะรับมือกับการถดถอยของยอดขายและการผลิต บรรดาผู้ผลิตยานยนต์จึงเริ่มมองหาแนวทางในการบริหารศักยภาพการผลิต ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 25 มองว่าการรวมบริษัท การร่วมทุน และการสร้างพันธมิตรล้วนเป็นทางออกที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี แนวทางการแก้ปัญหา ก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศและภูมิภาค ขณะนี้ยังไม่มีทางออกที่จะใช้ร่วมกันได้
ทางด้านผู้ผลิตยานยนต์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดลดลงในระยะเวลา 5 ปีนั้น มี 2บริษัทเท่านั้นที่เป็นบริษัทตะวันตกคือโฟล์คสวาเกนและบีเอ็มดับเบิลยู โดยร้อยละ 81 ของผู้ตอบแบบสอบถาม คิดว่าโฟล์คสวาเกนน่าจะติดอยู่ในอันดับสูงสุด บริษัทผู้ผลิตยานยนต์จากจีน 4 บริษัทก็ติดอยู่ใน 10 อันดับสูงสุดของประเทศที่คาดว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดลดลง ผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำจากสหรัฐอเมริกาอย่างฟอร์ดนั้นเลื่อนอันดับจากอันดับ 8 ในการสำรวจยานยนต์ของเคพีเอ็มจีในปี 2012 ไปเป็นอันดับ 14 ซึ่งสูงกว่าเจเนอรัล มอเตอร์เล็กน้อย ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 44 คาดว่าส่วนแบ่งตลาดของเจเนอรัล มอเตอร์จะสูงขึ้น
แนวโน้มของ “การให้บริการขนส่ง” ในเมืองต่างๆ
การขยายตัวอันรวดเร็วของเมืองและความแออัดในเมืองประกอบกับแนวคิดที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคเกี่ยวกับการครอบครองรถยนต์ ก่อให้เกิดความสนใจในการให้บริการขนส่งในฐานะของรูปแบบการคมนาคมแบบใหม่
ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 2 ใน 3 มองว่า จะมีทางเลือกใหม่ๆ เช่นการใช้ยานพาหนะร่วมกันหรือการเช่ายานพาหนะแบบจ่ายเป็นครั้งๆ มาเป็นทางออกแบบใหม่ในการคมนาคมนอกเหนือไปจากการเป็นเจ้าของยานพาหนะ กว่าครึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการให้บริการขนส่งตามความต้องการจะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าการการครอบครองรถยนต์ส่วนบุคคลระหว่างร้อยละ 6 ถึงร้อยละ 15 ภายในปี 2025
สำหรับ ผู้ประกอบการโออีเอ็มดั้งเดิม การให้บริการขนส่งยังเป็นสิ่งที่คลุมเครือ ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าบทบาทหลักในการให้บริการขนส่งใหม่นี้จะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผู้ประกอบการโออีเอ็ม และผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 46 เห็นว่านี่จะเป็นโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่สำหรับผู้เล่นใหม่ๆ ความสำเร็จของการให้บริการขนส่งจะขึ้นอยู่กับรูบแบบของบริการ และความง่ายในการใช้ ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ก็มองว่ายี่ห้อจะมีความสำคัญมาก
ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 83 มองว่าการเพิ่มข้อจำกัดของการขับขี่เพื่อที่จะบริหารความคล่องตัวของการจราจรและปกป้องผู้ขับขี่จักรยานและคนเดินถนนในเขตพื้นที่แออัดในเมืองจะส่งผลมหาศาลต่อการออกแบบยานพาหนะ ยานพาหนะที่ขนาดเล็กกว่าเดิมหมายถึงวัสดุที่เบากว่าเดิม เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ ไททาเนียม และพลาสติก ร้อยละ 43 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการผลิตวัสดุเหล่านี้ออกมาเป็นจำนวนมากภายใน 5 ถึง 10 ปี
ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป: รถระดับบนคันใหญ่ในตลาดที่เกิดขึ้นใหม่
เป็นน่าสนใจอย่างยิ่งว่าในขณะที่ในตลาดที่อิ่มตัวแล้วมีกระแสการเปลี่ยนยานพาหนะให้เล็กลงและใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในทางกลับกันกลับปรากฎในตลาดที่เกิดขึ้นใหม่ ผู้บริโภคต้องการรถระดับบนที่มีขนาดใหญ่อย่างรถเอสยูวี และรถที่มีขนาดกลางอย่างรถอเนกประสงค์ ผู้ตอบแบบสอบถามเพียงแค่ร้อยละ 39 จากตลาดที่อิ่มตัวแล้วคาดว่าส่วนแบ่งตลาดของรถเอสยูวีจะมีมากขึ้น ในขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 66 จากกลุ่มประเทศบีอาร์ไอซีคาดว่าส่วนแบ่งตลาดของรถประเภทนี้จะเพิ่มมากขึ้น
การเกิดขึ้นของตัวแทนจำหน่ายออนไลน์
วิธีที่ผู้บริโภคซื้อยานพาหนะก็กำลังเปลี่ยนไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปอเมริกาที่ร้อยละ 83 ของผู้ตอบแบบสอบถามนั้นบอกว่ากิจกรรมการซื้อขายผ่านร้านค้าออนไลน์ จะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามจากเอเชียก็คาดว่าตัวแทนจำหน่ายแบบดั้งเดิมจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ในประเทศนั้นๆ เหมือนเช่นเคย
สิ่งที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ยานยนต์อีกสิ่งก็คือการเติบโตของกระแสเทคโนโลยีที่เดียวกับรถยนต์ ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 54 กล่าวถึงความสำคัญของมัน ในขณะที่การสำรวจในปี 2012 ผู้ตอบแบบสอบถามเพียงร้อยละ 22 เท่านั้นที่จะเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 42 ก็ยังคาดว่าบริษัทด้านเทคโนโลยีจะมีบทบาทในการเป็นผู้นำเกี่ยวกับเทคโนโลยีในรถยนต์ในอีก 5 ปีข้างหน้า แทนที่ผู้ประกอบการโออีเอ็ม
ทั้งนี้ รายงานสำรวจ ทำการสำรวจผู้บริหารด้านยานยนต์ตั้งแต่ผู้ผลิตยานยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้จัดจำหน่าย ผู้ให้บริการทางการเงิน บริษัทให้เช่ารถยนต์และผู้ให้บริการด้านขนส่ง จาก 31 ประเทศ ร้อยละ 39 ของผู้ตอบแบบสำรวจมาจากยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ร้อยละ 37 มาจากเอเซีย-แปซิฟิค และร้อยละ 24 มาจากอเมริกา
กำลังโหลดความคิดเห็น