ขึ้นชื่อว่าโรคมะเร็งแล้วนั้นดูแล้วจะเป็นโรคร้ายที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้มันเข้ามากล้ำกรายในชีวิต แต่ปัจจุบันความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งกลับมีมากขึ้นเพราะด้วยสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ อาหารการกิน ฯลฯ
โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดเป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบโรคเลือด และจากสถิติมะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งระบบเลือดที่พบได้มากที่สุดในไทยและในโลก ติดอันดับ 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย ซึ่งมะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ในร่างกายของเราได้ทุกที่ เพราะต่อมน้ำเหลืองนั้นมีกระจายอยู่ทั่วร่างกายของเรา เช่น บริเวณลำคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขน ข้อพับขา ในช่องอก ในช่องท้อง แต่กับเธอคนนี้ เบลล์ ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ เธอก็เป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เป็น 1 เปอร์เซ็นในโลกที่มะเร็งลามเข้าสู่หัวใจ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด
“เราไปตรวจปุ๊บก็เจอก้อนเนื้อก้อนใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ขั้วปอดซึ่งไปเบียดทับหลอดลม ทำให้หลอดลมมีช่องเหลือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหายใจไม่ค่อยออก เป็นลม เหนื่อยง่าย กินอะไรก็เหนื่อย แค่นั่งเฉยๆ หัวใจยังเต้น 130 ครั้งต่อนาที เหมือนคนกำลังวิ่งมาราธอนอยู่เลย แล้วก็ไอหนักมาก กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักก็ลด ท้องเสียด้วย ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคือก้อนอะไร และเราเป็นโรคอะไร แต่คุณหมอก็ประเมินไว้แล้วว่าไม่น่ารอด ไม่น่าอยู่เกิน 6 เดือน
ตอนนั้นที่เรารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปอดก็เริ่มดีขึ้น เราก็เริ่มลันล้า ช่วงนั้นก็ไปเที่ยวปกติ กลับมาพอดียาหมดเราก็ไปต่อยา ซึ่งหมอก็ขอเอ็กซเรย์ เราก็ไม่มีปัญหาเพราะยังไงตรวจสุขภาพเราก็ต้องเอ็กซเรย์อยู่แล้ว ปรากฏว่าเอ็กซเรย์ไปปอดเราใสสะอาดไม่เป็นอะไรแต่ดันไปมีปัญหาในหัวใจ คือหัวใจโตมาก โตจนไปเบียดปอด มีน้ำล้อม 3 เซนติเมตร ตอนนั้นเลยต้องแอดมิดทันทีเพราะว่ามันอันตรายมาก ผลสรุปตรวจออกมาก็เจอก้อนเนื้อในหัวใจใหญ่ประมาณ 5 เซนติเมตรไปอุดอยู่ที่หัวใจห้องล่างขวา เป็นชิ้นเนื้อมะเร็งชนิดเดียวกันแต่เป็นในหัวใจ ซึ่งหมอก็เลยตกใจเพราะถ้าหลุดออกมาจะไปอุดหัวใจอุดปอดตาย หมอไม่เชื่อเลยไปตามศาสตราจารย์อาจารย์หมอมาอีกทีหนึ่ง มีหมอเฉพาะทางทั้งสามคนมาเช็ค
ปรากฎว่ามีก้อนเนื้อในหัวใจจริงๆ อยู่ที่หัวใจห้องล่างเป็นห้องหัวใจที่ต่อกับหลอดเลือดดำเข้าปอด หมอก็กลัวว่าไม่รู้ว่าเป็นก้อนอะไรก็กลัวอุดเข้าไปถ้าอุดเข้าไปคือก็ตายได้ทันที ตอนนั้นเป็นอีกครั้งที่เราคิดว่าเรามีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ หมอบอกว่าไม่เคยเจอมาก่อนในประเทศไทยซึ่งเบลล์ก็ไม่เชื่อแต่ก็ไม่เชิงรายแรกนะคะแต่จะเป็นไม่กี่รายในโลกที่หายเพราะส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ข้างๆ หัวใจส่วนเบลล์มันอยู่ข้างในห้องหัวใจ”
ซึ่งการรักษาของเธอได้รักษากับ ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล (หัวหน้าภาควิชา โลหิตวิทยา รพ.ศิริราช) และโดนให้ยาพร้อมกัน 4-5 ตัว
“ตอนนั้นมันคือนอกตำราไปแล้วในเมื่อมันนอกตำรา หมอก็ต้องเล่นนอกตำราเหมือนกัน เหมือนดวลปืนคนละนัด หมอก็สุ่มยิงเลย สุ่มยิงยา โดยเลือกยาที่คิดว่าร่างกายเราจะตอบสนองและทำให้โรคสงบมากที่สุด ณ ตอนนั้น หมอพูดตามตรงเลยว่ามันยาก เพราะหมอก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงเพราะว่าที่เรียนมาทั้งหมด หรือไปประชุมมาทั่วโลกมันก็ไม่ได้มีเคสแบบนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ไม่เจอประเทศจีนก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน คุณพ่อเบลล์ลงทุนออกค่าตั๋วให้หมอไปประเทศจีนเพื่อดูว่ามียารักษาไหมแต่ทางนั้นก็บอกว่ารักษาไม่ได้ ซึ่งเบลล์ก็เคยคุยกับคุณหมอที่อเมริกาเขาก็ว่ายังไม่เคยเจอใครที่รอดเลย คือคุณหมอจะบินไปประชุมที่เมืองนอกบ่อยๆ คอยอัพเดทโรค เราก็เลยบอกหมอว่า ไม่เป็นไรถ้าผลออกมาเป็นยังไงไม่ว่ากันเพราะตอนนี้ก็มีชีวิตเกิน 6 เดือนแล้ว ที่เหลือเป็นกำไรแล้ว (ยิ้ม)
เบลล์รักษากับ ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล (หัวหน้าภาควิชา โลหิตวิทยา รพ.ศิริราช) ค่ะ ตอนนั้นคือคุณหมอจัดเซทใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ เพราะว่าให้ยาพร้อมกัน 4-5 ตัว เลยค่ะ (ยิ้ม)”
ส่วนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
“หลักๆ ที่เบลล์ไปฟังบรรยายเรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมา หนึ่งเลยจะเกิดจากสารเคมี ซึ่งตัวเบลล์จะชอบย้อมสีผมหนักๆ มาตลอด 7-8 ปี แล้วก็พฤติกรรมที่ชอบกินปิ้งย่าง ปิ้งย่างก็กินมาตั้งแต่ม.ต้น จนกระทั่งทำงานก็ยังกินต่อเนื่องมาเป็น 10 ปี เดือนหนึ่งกินหลายครั้งมาก ก่อนหน้านี้เบลล์จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงไม่ห่วงร่างเลย จะกินน้ำน้อยมากเพราะว่าเดินทางบ่อยเลยไม่อยากเข้าห้องน้ำ แล้วก็เป็นคนที่นอนน้อยมาก นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง มาเกือบ 10 ปี อย่างทำงานก็เลิกดึก ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์นี่จะหนักเลย จะเป็น Friday night ปาร์ตี้เกือบเช้า เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้พักไปนั่นไปนี่ต่อ ใช้ชีวิตสุดมาตลอด ไม่เคยสนใจเรื่องสุขภาพ และก็ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยค่ะเลยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลงเรื่อยๆ
ตอนที่เป็นมะเร็งเราเปลี่ยนตัวเองเยอะเหมือนกันนะเพราะว่าจากเดิมที่เราเป็นคนลุยๆ ต้องห้ามทำอะไรเยอะมากเพราะร่างกายไม่ไหวด้วย ส่วนการกินสิ่งที่เราชอบโดนงดหมดเลย ปิ้งย่างกินไม่ได้เลยค่ะ ของทอดเราก็ชอบก็โดนงดไปก่อนเพราะว่ากินแล้วยิ่งเจ็บคอและทำให้ร้อนในมากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนไปกินแบบต้มๆ แบบจืดๆ อะไรอย่างนี้แทน”
นอกเหนือจากนี้แล้วเธอยังสรุปผลเรื่องราวในการต่อสู้และวิธีรักษาโรคมะเร็งของเธอไว้ในหนังสือ I Cancel My Cancer ที่เธอเขียนไว้ดังนี้
สุดท้ายผลสรุปโดยรวมเธอรักษากับคุณหมอมากกว่า 20 คน ทำคีโม 26 ครั้ง ฉายแสงอีก 18 ครั้ง ผ่าตัดใหญ่ 2 ครั้ง เข้าห้องไอซียู 2 ครั้ง ผ่าตัดเล็ก ทั้งทำหัตถการต่างๆ ทั้งส่องกล้อง ใส่สายสวน เจาะปอด และเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจอีกนนับสิบครั้ง ยังไม่นับการแอดมิตที่โรงพยาบาลอีก 20 กว่าครั้งภายในระยะเวลาสองปีครึ่ง
ในที่สุด…โรคมะเร็งของฉันก็สงบลง
สามารถอ่านเรื่องราวการต่อสู้กับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของเบลล์ ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ได้ในหนังสือ I Cancel My Cancer สำนักพิมพ์ BUNBOOKS
โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดเป็นมะเร็งชนิดหนึ่งของระบบโรคเลือด และจากสถิติมะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งระบบเลือดที่พบได้มากที่สุดในไทยและในโลก ติดอันดับ 1 ใน 5 ของมะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย ซึ่งมะเร็งชนิดนี้สามารถพบได้ในร่างกายของเราได้ทุกที่ เพราะต่อมน้ำเหลืองนั้นมีกระจายอยู่ทั่วร่างกายของเรา เช่น บริเวณลำคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขน ข้อพับขา ในช่องอก ในช่องท้อง แต่กับเธอคนนี้ เบลล์ ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ เธอก็เป็นผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เป็น 1 เปอร์เซ็นในโลกที่มะเร็งลามเข้าสู่หัวใจ จนแทบเอาชีวิตไม่รอด
“เราไปตรวจปุ๊บก็เจอก้อนเนื้อก้อนใหญ่ประมาณ 10 เซนติเมตร ที่ขั้วปอดซึ่งไปเบียดทับหลอดลม ทำให้หลอดลมมีช่องเหลือแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหายใจไม่ค่อยออก เป็นลม เหนื่อยง่าย กินอะไรก็เหนื่อย แค่นั่งเฉยๆ หัวใจยังเต้น 130 ครั้งต่อนาที เหมือนคนกำลังวิ่งมาราธอนอยู่เลย แล้วก็ไอหนักมาก กินอะไรก็ไม่ลง น้ำหนักก็ลด ท้องเสียด้วย ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าคือก้อนอะไร และเราเป็นโรคอะไร แต่คุณหมอก็ประเมินไว้แล้วว่าไม่น่ารอด ไม่น่าอยู่เกิน 6 เดือน
ตอนนั้นที่เรารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองในปอดก็เริ่มดีขึ้น เราก็เริ่มลันล้า ช่วงนั้นก็ไปเที่ยวปกติ กลับมาพอดียาหมดเราก็ไปต่อยา ซึ่งหมอก็ขอเอ็กซเรย์ เราก็ไม่มีปัญหาเพราะยังไงตรวจสุขภาพเราก็ต้องเอ็กซเรย์อยู่แล้ว ปรากฏว่าเอ็กซเรย์ไปปอดเราใสสะอาดไม่เป็นอะไรแต่ดันไปมีปัญหาในหัวใจ คือหัวใจโตมาก โตจนไปเบียดปอด มีน้ำล้อม 3 เซนติเมตร ตอนนั้นเลยต้องแอดมิดทันทีเพราะว่ามันอันตรายมาก ผลสรุปตรวจออกมาก็เจอก้อนเนื้อในหัวใจใหญ่ประมาณ 5 เซนติเมตรไปอุดอยู่ที่หัวใจห้องล่างขวา เป็นชิ้นเนื้อมะเร็งชนิดเดียวกันแต่เป็นในหัวใจ ซึ่งหมอก็เลยตกใจเพราะถ้าหลุดออกมาจะไปอุดหัวใจอุดปอดตาย หมอไม่เชื่อเลยไปตามศาสตราจารย์อาจารย์หมอมาอีกทีหนึ่ง มีหมอเฉพาะทางทั้งสามคนมาเช็ค
ปรากฎว่ามีก้อนเนื้อในหัวใจจริงๆ อยู่ที่หัวใจห้องล่างเป็นห้องหัวใจที่ต่อกับหลอดเลือดดำเข้าปอด หมอก็กลัวว่าไม่รู้ว่าเป็นก้อนอะไรก็กลัวอุดเข้าไปถ้าอุดเข้าไปคือก็ตายได้ทันที ตอนนั้นเป็นอีกครั้งที่เราคิดว่าเรามีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ หมอบอกว่าไม่เคยเจอมาก่อนในประเทศไทยซึ่งเบลล์ก็ไม่เชื่อแต่ก็ไม่เชิงรายแรกนะคะแต่จะเป็นไม่กี่รายในโลกที่หายเพราะส่วนใหญ่ก็จะมีแค่ข้างๆ หัวใจส่วนเบลล์มันอยู่ข้างในห้องหัวใจ”
ซึ่งการรักษาของเธอได้รักษากับ ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล (หัวหน้าภาควิชา โลหิตวิทยา รพ.ศิริราช) และโดนให้ยาพร้อมกัน 4-5 ตัว
“ตอนนั้นมันคือนอกตำราไปแล้วในเมื่อมันนอกตำรา หมอก็ต้องเล่นนอกตำราเหมือนกัน เหมือนดวลปืนคนละนัด หมอก็สุ่มยิงเลย สุ่มยิงยา โดยเลือกยาที่คิดว่าร่างกายเราจะตอบสนองและทำให้โรคสงบมากที่สุด ณ ตอนนั้น หมอพูดตามตรงเลยว่ามันยาก เพราะหมอก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไงเพราะว่าที่เรียนมาทั้งหมด หรือไปประชุมมาทั่วโลกมันก็ไม่ได้มีเคสแบบนี้ ไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ไม่เจอประเทศจีนก็ไม่เคยเจอเหมือนกัน คุณพ่อเบลล์ลงทุนออกค่าตั๋วให้หมอไปประเทศจีนเพื่อดูว่ามียารักษาไหมแต่ทางนั้นก็บอกว่ารักษาไม่ได้ ซึ่งเบลล์ก็เคยคุยกับคุณหมอที่อเมริกาเขาก็ว่ายังไม่เคยเจอใครที่รอดเลย คือคุณหมอจะบินไปประชุมที่เมืองนอกบ่อยๆ คอยอัพเดทโรค เราก็เลยบอกหมอว่า ไม่เป็นไรถ้าผลออกมาเป็นยังไงไม่ว่ากันเพราะตอนนี้ก็มีชีวิตเกิน 6 เดือนแล้ว ที่เหลือเป็นกำไรแล้ว (ยิ้ม)
เบลล์รักษากับ ผศ.นพ.นพดล ศิริธนารัตนกุล (หัวหน้าภาควิชา โลหิตวิทยา รพ.ศิริราช) ค่ะ ตอนนั้นคือคุณหมอจัดเซทใหญ่มาก ใหญ่มากจริงๆ เพราะว่าให้ยาพร้อมกัน 4-5 ตัว เลยค่ะ (ยิ้ม)”
ส่วนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
“หลักๆ ที่เบลล์ไปฟังบรรยายเรื่องมะเร็งต่อมน้ำเหลืองมา หนึ่งเลยจะเกิดจากสารเคมี ซึ่งตัวเบลล์จะชอบย้อมสีผมหนักๆ มาตลอด 7-8 ปี แล้วก็พฤติกรรมที่ชอบกินปิ้งย่าง ปิ้งย่างก็กินมาตั้งแต่ม.ต้น จนกระทั่งทำงานก็ยังกินต่อเนื่องมาเป็น 10 ปี เดือนหนึ่งกินหลายครั้งมาก ก่อนหน้านี้เบลล์จะใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงไม่ห่วงร่างเลย จะกินน้ำน้อยมากเพราะว่าเดินทางบ่อยเลยไม่อยากเข้าห้องน้ำ แล้วก็เป็นคนที่นอนน้อยมาก นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง มาเกือบ 10 ปี อย่างทำงานก็เลิกดึก ยิ่งถ้าเป็นวันศุกร์นี่จะหนักเลย จะเป็น Friday night ปาร์ตี้เกือบเช้า เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้พักไปนั่นไปนี่ต่อ ใช้ชีวิตสุดมาตลอด ไม่เคยสนใจเรื่องสุขภาพ และก็ไม่ชอบออกกำลังกายด้วยค่ะเลยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลงเรื่อยๆ
ตอนที่เป็นมะเร็งเราเปลี่ยนตัวเองเยอะเหมือนกันนะเพราะว่าจากเดิมที่เราเป็นคนลุยๆ ต้องห้ามทำอะไรเยอะมากเพราะร่างกายไม่ไหวด้วย ส่วนการกินสิ่งที่เราชอบโดนงดหมดเลย ปิ้งย่างกินไม่ได้เลยค่ะ ของทอดเราก็ชอบก็โดนงดไปก่อนเพราะว่ากินแล้วยิ่งเจ็บคอและทำให้ร้อนในมากขึ้น ก็ต้องเปลี่ยนไปกินแบบต้มๆ แบบจืดๆ อะไรอย่างนี้แทน”
นอกเหนือจากนี้แล้วเธอยังสรุปผลเรื่องราวในการต่อสู้และวิธีรักษาโรคมะเร็งของเธอไว้ในหนังสือ I Cancel My Cancer ที่เธอเขียนไว้ดังนี้
สุดท้ายผลสรุปโดยรวมเธอรักษากับคุณหมอมากกว่า 20 คน ทำคีโม 26 ครั้ง ฉายแสงอีก 18 ครั้ง ผ่าตัดใหญ่ 2 ครั้ง เข้าห้องไอซียู 2 ครั้ง ผ่าตัดเล็ก ทั้งทำหัตถการต่างๆ ทั้งส่องกล้อง ใส่สายสวน เจาะปอด และเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจอีกนนับสิบครั้ง ยังไม่นับการแอดมิตที่โรงพยาบาลอีก 20 กว่าครั้งภายในระยะเวลาสองปีครึ่ง
ในที่สุด…โรคมะเร็งของฉันก็สงบลง
สามารถอ่านเรื่องราวการต่อสู้กับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของเบลล์ ศิรินทิพย์ ขัติยะกาญจน์ ได้ในหนังสือ I Cancel My Cancer สำนักพิมพ์ BUNBOOKS