โรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงเป็นอันดับ 1 ยังคงเป็นโรคมะเร็งเต้านมมาอย่างต่อเนื่อง คิดเป็น 28.6 รายต่อประชากรจำนวน 100,000 คน โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในช่วงอายุประมาณ 45-55 ปี ทั้งนี้ยังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าในประเทศไทยประชากรเพศหญิงช่วงอายุ 30-35 ปี มีแนวโน้มเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นเรื่อย
นพ. สืบพงศ์ ธนสารวิมล แพทย์อายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า มะเร็งเต้านมถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ ผู้หญิงไทยไม่ควรละเลยต่อการตรวจเช็คตนเอง และการตรวจคัดกรองด้วย การเอ็กซเรย์เต้านม เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที โดยการรักษามะเร็งเต้านมในระยะหนึ่งหรือสอง จะมีโอกาสหายได้ มากถึงร้อยละ 90
เดิมการรักษามะเร็งเต้านมมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะโรค อายุ และสุขภาพของผู้ป่วยเป็นหลัก แต่ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมโดยเฉพาะการรักษาด้วยยา มีความจำเพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายมากขึ้น เนื่องจากความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้นในการแบ่งแยกชนิดของมะเร็งเต้านม ซึ่งมีการดำเนินโรคและการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน โดยแพทย์สามารถแยกชนิดมะเร็งเต้านมดังกล่าว ได้ด้วยการตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งเต้านม เพื่อดูการแสดงออกของโปรตีนสองอย่าง ได้แก่
•การตรวจตัวรับของฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ ตัวรับเอสโตรเจน (Estrogen Receptor - ER) และตัวรับโปรเจสเตอโรน (Progesterone Receptor - PGR) โดยการมีตัวรับฮอร์โมนจะบ่งบอกได้ว่ามะเร็งนั้นๆ สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
•การตรวจตัวรับเฮอร์ทู (HER2) การมีตัวรับนี้บ่งบอกว่ามะเร็งนั้นๆ อาจมีการแสดงออกของตัวรับนี้สูงผิดปกติ ซึ่งมักเจริญเติบโตรวดเร็วและดื้อยาได้ง่าย การรักษาด้วยยาต้านเฮอร์ทูอาจมีผลในการกำจัดเซลล์มะเร็งเหล่านี้
โดยวิธีการตรวจสอบข้างต้นนี้จะสามารถ ทำให้แยกชนิดของมะเร็งเต้านม ได้ดังต่อไปนี้
1.มะเร็งเต้านมที่มีผลบวกต่อตัวรับฮอร์โมน และผลลบต่อตัวรับเฮอร์ทู (HR+/HER2-) ซึ่งพบประมาณ ร้อยละ 73 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด มีแนวโน้มว่าจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนมากกว่าชนิดอื่น
2.มะเร็งต้านมที่มีผลลบทั้งสามส่วน (Endocrine receptor-negative: HR- / HER2-) เซลล์มะเร็งเต้านมชนิดนี้สามารถพบได้ประมาณร้อยละ 13 ของกลุ่มผู้ป่วยเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วมะเร็งเหล่านี้มักตอบสนองได้ดีต่อเคมีบำบัด และไม่ตอบสนองต่อยาต้านฮอร์โมน
3.มะเร็งเต้านมที่มีผลบวกต่อตัวรับฮอร์โมนและผลบวกต่อตัวรับเฮอร์ทู (HR+/HER2+) ซึ่งพบประมาณ ร้อยละ 10 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด เซลล์มะเร็งดังกล่าวจะสามารถตอบสนองได้ดีต่อยาต้านเฮอร์ทู (anti HER2) และ/หรือร่วมกับยาต้านฮอร์โมน
4.มะเร็งเต้านมที่มีผลลบต่อตัวรับฮอร์โมนและผลบวกต่อตัวรับเฮอร์ทู (HR-/HER2+) ซึ่งพบประมาณ ร้อยละ 5 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด โดยมีแนวโน้มการตอบสนองที่ดีต่อยาต้านเฮอร์ทู
ทั้งนี้แนวทางการรักษามะเร็งเต้านมจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ระยะของโรคและชนิดของมะเร็งเต้านม ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี การรักษาด้วยยา ทั้งยาต้านฮอร์โมน ยาเคมีบำบัด และยารักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) ที่ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้จำเพาะมากขึ้น กล่าวคือ มีประสิทธิภาพสูงและอาการข้างเคียงต่ำ โดยปัจจุบันมีบทบาทอย่างมากในการรักษามะเร็งที่มีตัวรับฮอร์โมนหรือเฮอร์ทูเป็นบวก
“ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมมีความจำเพาะต่อผู้ป่วยแต่ละคนมากขึ้น การตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะต้นและการได้รับการรักษาที่จำเพาะกับชนิดของมะเร็งเต้านมนั้นๆจะทำให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด” นพ. สืบพงศ์ ธนสารวิมล กล่าวเพิ่มเติม
นพ. สืบพงศ์ ธนสารวิมล แพทย์อายุรศาสตร์มะเร็งวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กล่าวว่า มะเร็งเต้านมถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ ผู้หญิงไทยไม่ควรละเลยต่อการตรวจเช็คตนเอง และการตรวจคัดกรองด้วย การเอ็กซเรย์เต้านม เพื่อการรักษาที่ทันท่วงที โดยการรักษามะเร็งเต้านมในระยะหนึ่งหรือสอง จะมีโอกาสหายได้ มากถึงร้อยละ 90
เดิมการรักษามะเร็งเต้านมมีความแตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับระยะโรค อายุ และสุขภาพของผู้ป่วยเป็นหลัก แต่ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมโดยเฉพาะการรักษาด้วยยา มีความจำเพาะสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายมากขึ้น เนื่องจากความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้นในการแบ่งแยกชนิดของมะเร็งเต้านม ซึ่งมีการดำเนินโรคและการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกัน โดยแพทย์สามารถแยกชนิดมะเร็งเต้านมดังกล่าว ได้ด้วยการตรวจชิ้นเนื้อมะเร็งเต้านม เพื่อดูการแสดงออกของโปรตีนสองอย่าง ได้แก่
•การตรวจตัวรับของฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ ตัวรับเอสโตรเจน (Estrogen Receptor - ER) และตัวรับโปรเจสเตอโรน (Progesterone Receptor - PGR) โดยการมีตัวรับฮอร์โมนจะบ่งบอกได้ว่ามะเร็งนั้นๆ สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน
•การตรวจตัวรับเฮอร์ทู (HER2) การมีตัวรับนี้บ่งบอกว่ามะเร็งนั้นๆ อาจมีการแสดงออกของตัวรับนี้สูงผิดปกติ ซึ่งมักเจริญเติบโตรวดเร็วและดื้อยาได้ง่าย การรักษาด้วยยาต้านเฮอร์ทูอาจมีผลในการกำจัดเซลล์มะเร็งเหล่านี้
โดยวิธีการตรวจสอบข้างต้นนี้จะสามารถ ทำให้แยกชนิดของมะเร็งเต้านม ได้ดังต่อไปนี้
1.มะเร็งเต้านมที่มีผลบวกต่อตัวรับฮอร์โมน และผลลบต่อตัวรับเฮอร์ทู (HR+/HER2-) ซึ่งพบประมาณ ร้อยละ 73 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด มีแนวโน้มว่าจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนมากกว่าชนิดอื่น
2.มะเร็งต้านมที่มีผลลบทั้งสามส่วน (Endocrine receptor-negative: HR- / HER2-) เซลล์มะเร็งเต้านมชนิดนี้สามารถพบได้ประมาณร้อยละ 13 ของกลุ่มผู้ป่วยเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วมะเร็งเหล่านี้มักตอบสนองได้ดีต่อเคมีบำบัด และไม่ตอบสนองต่อยาต้านฮอร์โมน
3.มะเร็งเต้านมที่มีผลบวกต่อตัวรับฮอร์โมนและผลบวกต่อตัวรับเฮอร์ทู (HR+/HER2+) ซึ่งพบประมาณ ร้อยละ 10 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด เซลล์มะเร็งดังกล่าวจะสามารถตอบสนองได้ดีต่อยาต้านเฮอร์ทู (anti HER2) และ/หรือร่วมกับยาต้านฮอร์โมน
4.มะเร็งเต้านมที่มีผลลบต่อตัวรับฮอร์โมนและผลบวกต่อตัวรับเฮอร์ทู (HR-/HER2+) ซึ่งพบประมาณ ร้อยละ 5 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด โดยมีแนวโน้มการตอบสนองที่ดีต่อยาต้านเฮอร์ทู
ทั้งนี้แนวทางการรักษามะเร็งเต้านมจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ระยะของโรคและชนิดของมะเร็งเต้านม ได้แก่ การผ่าตัด การฉายรังสี การรักษาด้วยยา ทั้งยาต้านฮอร์โมน ยาเคมีบำบัด และยารักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) ที่ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้จำเพาะมากขึ้น กล่าวคือ มีประสิทธิภาพสูงและอาการข้างเคียงต่ำ โดยปัจจุบันมีบทบาทอย่างมากในการรักษามะเร็งที่มีตัวรับฮอร์โมนหรือเฮอร์ทูเป็นบวก
“ปัจจุบันการรักษามะเร็งเต้านมมีความจำเพาะต่อผู้ป่วยแต่ละคนมากขึ้น การตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะต้นและการได้รับการรักษาที่จำเพาะกับชนิดของมะเร็งเต้านมนั้นๆจะทำให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุด” นพ. สืบพงศ์ ธนสารวิมล กล่าวเพิ่มเติม