มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุการการตายอันดับสองของหญิงไทย ซึ่งมะเร็งชนิดนี้พบได้มากในสองช่วงอายุ คือ 35-39 ปี และ 60-64 ปี อายุเฉลี่ยที่พบมากสุดก็คือ 52.2 ปี แต่อายุเฉลี่ยที่ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกเสียชีวิตมากที่สุดอยู่ที่ 57 ปี
อย่างไรก็ดี นี่เป็นข้อมูลที่พึงรู้ไว้เพื่อการตระหนักแบบไม่ตื่นตระหนก ทางการแพทย์ก็มีคำแนะนำให้ตรวจเมื่อถึงช่วงอายุที่เสี่ยง แต่ ณ จุดนี้ เรามีอาหาร 9 ชนิดมาแนะนำ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก มีชนิดใดบ้าง มาดูกันเลยดีกว่า
1.อาหารที่อุดมด้วยวิตามินอี
งานวิจัยจากประเทศอังกฤษและฟินแลนด์ พบว่า ผู้ชายที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูง มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่มีวิตามินอีในเลือดต่ำ และงานวิจัยในสตรีพบว่า คนที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูง สามารถกำจัดเชื้อเอชพีวี (อันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก) ได้ภายใน 120 วัน ดีกว่าผู้มีระดับวิตามินอีในเลือดน้อย แต่หากเชื้อเอชพีวีคงอยู่นานกว่า 120 วัน ไม่ว่าผู้มีระดับวิตามินอีสูงหรือต่ำ ความสามารถกำจัดไม่แตกต่างกัน
อาหารที่อุดมวิตามินอี ได้แก่ ถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผักใบเขียว น้ำมันพืช เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะกอก
2.อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก เส้นเลือด ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์มะเร็ง ทำให้เวลล์มะเร็งชะงักการลุกลาม ฯลฯ งานวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันว่า การรับประทานผักสด ผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยวิมตามินซี ช่วยป้องกันมะเร็งทั่วๆ ไป รวมถึงมะเร็งปากมดลูกด้วย
ผู้ที่รับวิตามินซีจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ มีโอกาสติดเชื้อเอชพีวีชนิดต่อเนื่อง น้อยกว่าคนที่กินวิตามินซีน้อย โดยพบว่าผู้หญิงที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ มีระดับของวิตามินซีในเลือดต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีเซลล์ผิดปกติ นอกจากนั้น วิตามินซียังลดการสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่สร้างขึ้นในร่างกายจากการรับประทานเนื้อย่าง เนื้อรมควัน ของหมักดอง อาหารย้อมสี
อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี ได้แก่ ผลไม้ ผักใบเขียว ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ กล้วย มะนาว พริกหวาน มะเขือเทศ ส้มโอ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
3.อาหารที่อุมดมไปด้วยสารโฟเลต
โฟเลตเป็นสารที่มีความจำเป็นในการส้างเซวล์ใหม่ ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้ระบบประสาทปกติ และควบคุมพันธุกรรมให้ปกติ งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดนาน และผู้ที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ มีระดับของสารโฟเลตต่ำกว่าคนปกติ และเมื่อเสริมสารโฟเลตในคนที่รับประทานยาคุมกำเนิด พบว่า ผู้หญิงในกลุ่มนี้มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เสริมสารโฟเลต
คนทั่วไปที่มีระดับโฟเลตในเลือดสูง โอกาสติดเชื้อเอชพีวีแบบต่อเนื่อง มีน้อยกว่าคนที่มีระดับต่ำ ส่วนอาหารที่อุดมไปด้วยโฟเลต ได้แก่ ถั่ว ผักใบเขียว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำส้มคั้นสด
4.อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีน
งานวิจัยจากหลากหลายสถาบันยืนยันตรงกันว่า การรับประทานผักผลไม้ที่มีสีเขียวจัด เหลือง ส้ม แดง เช่น ผักโขม แครอท ฟักทอง ส้ม มะละกอ มะม่วง ซึ่งอุดมด้วยสารเบต้าแคโรทีน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์ปากมดลูกผิดปกติและมะเร็งปากมดลูก นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปากมดลูกมีระดับของสารเบต้าแคโรทีนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ป่วย
สารเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดูแลภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ให้เป็นปกติ
5.อาหารที่อุดมด้วยสารซีลีเนียม (Selenium)
งานวิจัยพบว่า การได้รับสารซีลีเนียมวันละ 250-300 ไมโครกรัม สามารถต้านมะเร็งได้หลายชนิด โดยเฉพาะการให้ร่วมกับวิตามินอี สารซีลีเนียมพบได้มากในกระเทียม ยีสต์ งา ถั่ว เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี
6.สาหร่ายทะเล
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เชื่อว่า เมื่อรับประทานเข้าไป สาหร่ายทะเลจะเข้าไปจับกับสารก่อมะเร็งทั้งหลาย ลดการเกิดมะเร็งเต้านม รวมทั้งมะเร็งปากมดลูก
7.กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี
นอกจากมีวิตามินซีและกากใยสูง ยังมีสารต้านมะเร็ง ได้แก่ ไดอินโดลิลมีเทน ซัลฟาโฟราเฟน และซีลีเนียม
8.น้ำมันปลา
มีสารดีเอชเอ ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ในงานวิจัยพบว่า สามารถหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อเอชพีวีได้ น้ำมันปลาเป็นน้ำมันจากปลาทะเลลึก เช่น ปลาแซลมอน ซาร์ดีน เฮร์ริ่ง แมคเคอเรล ทูน่า ปลาทะเลไทยที่มีโอเมก้า-3 ในปริมาณที่พอเพียง ได้แก่ ปลาทู ปลาสำลี ปรารัง ปลาอินทรี ปลากะพง ปลาโอ ปลาเก๋า ส่วนปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาช่อน ปลาบู่ ปลานวลจันทร์
9.โคเอนไซม์คิวเท็น
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีหน้าที่ควบคุมการผลิตพลังงานแก่ร่างกาย งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ หรือเป็นมะเร็งปากมดลูก มีระดับโคเอนไซม์คิวเท็นต่ำ ในธรรมชาติ โคเอนไซม์คิวเท็นมีมากในปลาเฮร์ริ่ง ปลาแมคเคอเรล
____________________
ข้อมูล : หนังสือ “100 เรื่องน่ารู้...มะเร็งในผู้หญิง” เขียนโดยแพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข, สำนักพิมพ์อัมรินทร์สุขภาพ
อย่างไรก็ดี นี่เป็นข้อมูลที่พึงรู้ไว้เพื่อการตระหนักแบบไม่ตื่นตระหนก ทางการแพทย์ก็มีคำแนะนำให้ตรวจเมื่อถึงช่วงอายุที่เสี่ยง แต่ ณ จุดนี้ เรามีอาหาร 9 ชนิดมาแนะนำ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูก มีชนิดใดบ้าง มาดูกันเลยดีกว่า
1.อาหารที่อุดมด้วยวิตามินอี
งานวิจัยจากประเทศอังกฤษและฟินแลนด์ พบว่า ผู้ชายที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูง มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่มีวิตามินอีในเลือดต่ำ และงานวิจัยในสตรีพบว่า คนที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูง สามารถกำจัดเชื้อเอชพีวี (อันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก) ได้ภายใน 120 วัน ดีกว่าผู้มีระดับวิตามินอีในเลือดน้อย แต่หากเชื้อเอชพีวีคงอยู่นานกว่า 120 วัน ไม่ว่าผู้มีระดับวิตามินอีสูงหรือต่ำ ความสามารถกำจัดไม่แตกต่างกัน
อาหารที่อุดมวิตามินอี ได้แก่ ถั่ว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผักใบเขียว น้ำมันพืช เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันมะกอก
2.อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูก เส้นเลือด ป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์มะเร็ง ทำให้เวลล์มะเร็งชะงักการลุกลาม ฯลฯ งานวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันว่า การรับประทานผักสด ผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยวิมตามินซี ช่วยป้องกันมะเร็งทั่วๆ ไป รวมถึงมะเร็งปากมดลูกด้วย
ผู้ที่รับวิตามินซีจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ มีโอกาสติดเชื้อเอชพีวีชนิดต่อเนื่อง น้อยกว่าคนที่กินวิตามินซีน้อย โดยพบว่าผู้หญิงที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ มีระดับของวิตามินซีในเลือดต่ำกว่าผู้ที่ไม่มีเซลล์ผิดปกติ นอกจากนั้น วิตามินซียังลดการสร้างสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่สร้างขึ้นในร่างกายจากการรับประทานเนื้อย่าง เนื้อรมควัน ของหมักดอง อาหารย้อมสี
อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี ได้แก่ ผลไม้ ผักใบเขียว ฝรั่ง สับปะรด มะละกอ กล้วย มะนาว พริกหวาน มะเขือเทศ ส้มโอ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
3.อาหารที่อุมดมไปด้วยสารโฟเลต
โฟเลตเป็นสารที่มีความจำเป็นในการส้างเซวล์ใหม่ ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ทำให้ระบบประสาทปกติ และควบคุมพันธุกรรมให้ปกติ งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดนาน และผู้ที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ มีระดับของสารโฟเลตต่ำกว่าคนปกติ และเมื่อเสริมสารโฟเลตในคนที่รับประทานยาคุมกำเนิด พบว่า ผู้หญิงในกลุ่มนี้มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เสริมสารโฟเลต
คนทั่วไปที่มีระดับโฟเลตในเลือดสูง โอกาสติดเชื้อเอชพีวีแบบต่อเนื่อง มีน้อยกว่าคนที่มีระดับต่ำ ส่วนอาหารที่อุดมไปด้วยโฟเลต ได้แก่ ถั่ว ผักใบเขียว ธัญพืช ข้าวกล้อง ผลไม้รสเปรี้ยว น้ำส้มคั้นสด
4.อาหารที่อุดมด้วยวิตามินเอและสารเบต้าแคโรทีน
งานวิจัยจากหลากหลายสถาบันยืนยันตรงกันว่า การรับประทานผักผลไม้ที่มีสีเขียวจัด เหลือง ส้ม แดง เช่น ผักโขม แครอท ฟักทอง ส้ม มะละกอ มะม่วง ซึ่งอุดมด้วยสารเบต้าแคโรทีน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดเซลล์ปากมดลูกผิดปกติและมะเร็งปากมดลูก นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งปากมดลูกมีระดับของสารเบต้าแคโรทีนต่ำกว่า เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ป่วย
สารเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดูแลภูมิต้านทานของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ให้เป็นปกติ
5.อาหารที่อุดมด้วยสารซีลีเนียม (Selenium)
งานวิจัยพบว่า การได้รับสารซีลีเนียมวันละ 250-300 ไมโครกรัม สามารถต้านมะเร็งได้หลายชนิด โดยเฉพาะการให้ร่วมกับวิตามินอี สารซีลีเนียมพบได้มากในกระเทียม ยีสต์ งา ถั่ว เห็ด หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี
6.สาหร่ายทะเล
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เชื่อว่า เมื่อรับประทานเข้าไป สาหร่ายทะเลจะเข้าไปจับกับสารก่อมะเร็งทั้งหลาย ลดการเกิดมะเร็งเต้านม รวมทั้งมะเร็งปากมดลูก
7.กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี
นอกจากมีวิตามินซีและกากใยสูง ยังมีสารต้านมะเร็ง ได้แก่ ไดอินโดลิลมีเทน ซัลฟาโฟราเฟน และซีลีเนียม
8.น้ำมันปลา
มีสารดีเอชเอ ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า-3 ในงานวิจัยพบว่า สามารถหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อเอชพีวีได้ น้ำมันปลาเป็นน้ำมันจากปลาทะเลลึก เช่น ปลาแซลมอน ซาร์ดีน เฮร์ริ่ง แมคเคอเรล ทูน่า ปลาทะเลไทยที่มีโอเมก้า-3 ในปริมาณที่พอเพียง ได้แก่ ปลาทู ปลาสำลี ปรารัง ปลาอินทรี ปลากะพง ปลาโอ ปลาเก๋า ส่วนปลาน้ำจืดที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาช่อน ปลาบู่ ปลานวลจันทร์
9.โคเอนไซม์คิวเท็น
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีหน้าที่ควบคุมการผลิตพลังงานแก่ร่างกาย งานวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่มีเซลล์ปากมดลูกผิดปกติ หรือเป็นมะเร็งปากมดลูก มีระดับโคเอนไซม์คิวเท็นต่ำ ในธรรมชาติ โคเอนไซม์คิวเท็นมีมากในปลาเฮร์ริ่ง ปลาแมคเคอเรล
____________________
ข้อมูล : หนังสือ “100 เรื่องน่ารู้...มะเร็งในผู้หญิง” เขียนโดยแพทย์หญิงชัญวลี ศรีสุโข, สำนักพิมพ์อัมรินทร์สุขภาพ