การเป็นหวัดเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ติดหวัดจากคนรอบข้าง ตากฝน พักผ่อนไม่เพียงพอ หวัดสามารถเป็นได้ง่ายๆ หากเราไม่ดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อเป็นหวัดแล้วการรักษาก็มีทั้งการกินยา การฉีดยา แต่เชื้อไข้หวัดนั้นก็มีการพัฒนาตัวเองตามกาลเวลา เช่น ในกรณีที่คนป่วยเกิดอาการดื้อยา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเราควรจะรู้วิธีป้องกัน สร้างภูมิคุ้มกันต้านหวัด เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรงอยู่เสมอ
อาหารที่ช่วยต้านหวัด
1.ซุปไก่ร้อนๆ
ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักเข้าไปเพื่อเพิ่มสารทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย
2.อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ
เช่น กระเทียม สามารถช่วยลดอาการหวัด จะใช้ใส่ปรุงลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆวันละ 1 - 2 กลีบก็ได้ , ขิง จะช่วยลดอาการหวัดและป้องกันโรคหวัดได้ น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2-3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น,พริก ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
3.ดื่มน้ำมากๆ
อาจเป็นน้ำผลไม้คั้นสดก็ได้ เพื่อเสริมวิตามินซีให้กับร่างกายหรืออาจเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ ก็จะช่วยลดเสมหะได้ แต่ควรงดกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน
4.ผลไม้ตระกูลส้ม
ซึ่งมีวิตามินซีสูงช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อหวัดได้ การสูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงของคนสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น
5.อาหารต่างๆ ที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ
อาหารที่มีวิตามินซี ฝรั่งพริกหวาน สตรอเบอร์รี่ สับปะรด หรือกะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี จะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และป้องกันการติดเชื้อได้ ผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูบ มะละกอสุก เป็นต้น
6.โยเกิรต์
โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดีบางชนิดได้ การรับประทานโยเกิรต์ทุกวันจะช่วยลดอาการหวัดและภูมิแพ้ได้
อาหารดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานและบรรเทาอาการหวัด แต่สิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็คือการพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย เพียงเท่านี้ร่างกายก็จะแข็งแรงมีภูมิต้านทานต่อโรคหวัดและโรคอื่นๆอีกด้วย
ที่มา:http//:lph.go.th(เว็บโรงพยาบาลลำปาง) และ www.health.mthai.com
อาหารที่ช่วยต้านหวัด
1.ซุปไก่ร้อนๆ
ช่วยลดอาการคัดจมูก อาจเติมผักเข้าไปเพื่อเพิ่มสารทำให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี ซุปไก่ที่ผ่านกระบวนการตุ๋นนานๆ จนโปรตีนย่อยสลายเป็นไดเปปไทด์ จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายสดชื่น และยังให้โปรตีนที่ดีต่อร่างกายด้วย
2.อาหารรสเผ็ดรวมทั้งเครื่องเทศ
เช่น กระเทียม สามารถช่วยลดอาการหวัด จะใช้ใส่ปรุงลงในอาหารหรือเคี้ยวสดๆวันละ 1 - 2 กลีบก็ได้ , ขิง จะช่วยลดอาการหวัดและป้องกันโรคหวัดได้ น้ำขิงร้อนๆ ผสมกระเทียม 2-3 กลีบ ช่วยให้ระบบหายใจทำงานคล่องขึ้น,พริก ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ "แคป ไซซิน" พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม ลดอาการคัดจมูก ช่วยให้หายใจโล่งขึ้น
3.ดื่มน้ำมากๆ
อาจเป็นน้ำผลไม้คั้นสดก็ได้ เพื่อเสริมวิตามินซีให้กับร่างกายหรืออาจเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น ชา น้ำมะนาวอุ่นๆ ก็จะช่วยลดเสมหะได้ แต่ควรงดกาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน
4.ผลไม้ตระกูลส้ม
ซึ่งมีวิตามินซีสูงช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อหวัดได้ การสูบบุหรี่หรืออยู่ในแวดวงของคนสูบบุหรี่ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นหวัดและทำให้ร่างกายต้องการวิตามินซีสูงขึ้น
5.อาหารต่างๆ ที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ
อาหารที่มีวิตามินซี ฝรั่งพริกหวาน สตรอเบอร์รี่ สับปะรด หรือกะหล่ำปลี ล้วนแล้วแต่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีนหรือวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี จะช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย และป้องกันการติดเชื้อได้ ผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น แครอท ผักใบเขียวจัด ส้ม ฝรั่ง องุ่น แคนตาลูบ มะละกอสุก เป็นต้น
6.โยเกิรต์
โยเกิร์ตช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและช่วยเพิ่มการสร้างสารแอนติบอดีบางชนิดได้ การรับประทานโยเกิรต์ทุกวันจะช่วยลดอาการหวัดและภูมิแพ้ได้
อาหารดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานและบรรเทาอาการหวัด แต่สิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอก็คือการพักผ่อนให้เพียงพอ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย เพียงเท่านี้ร่างกายก็จะแข็งแรงมีภูมิต้านทานต่อโรคหวัดและโรคอื่นๆอีกด้วย
ที่มา:http//:lph.go.th(เว็บโรงพยาบาลลำปาง) และ www.health.mthai.com