xs
xsm
sm
md
lg

เสียพุงให้ใบแดง! “เบนซ์-ศราวุฒธ์” สมาร์ท หุ่นดี เพราะติดทหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เป็นกระแสส่งต่อและบอกเล่าอย่างมีพลัง สำหรับเรื่องราวของ "เบนซ์ ศราวุฒธ์ แซ่เฮง" ที่เปลี่ยนไปจากหนุ่มจ้ำม่ำเจ้าเนื้อ น้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม แต่หลังจากจับได้ใบแดงทำให้ต้องเข้าประจำการกองทหารสังกัดค่ายสุรสีห์ ร.9 พัน 2 กาญจนบุรี เพียงแค่ 3 เดือน ก็กลายร่างเป็นหนุ่มหุ่นสมาร์ทน้ำหนัก 60 กิโลกรัมต้นๆ

เขาเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ทุกอย่างจะนำพามาเช่นนี้ อย่างที่เขาบอกว่า "จริงๆ ก็ไม่อยากจับโดนใบแดง (หัวเราะ) แต่ว่าเราเหมือนกับเรามีเซนต์อยู่ว่ายังไงเราก็โดน ก็เลยคิดว่าโอเคโดนก็โดน แล้วค่อยว่ากันอีกที ว่าจะเป็นอย่างไร"

แต่ ณ เวลานี้ เรื่องราวทั้งหมดได้นำพาให้กลายมาเป็นทั้งบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขากลายเป็นบุคคลต้นแบบ หรือที่เขาเรียกขานกันว่า "ไอดอล" ไปแล้วอีกหนึ่งคน...

แนะนำตัวเองหน่อยครับ

ผมเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนที่ เรียนศิลปกรรม ออกแบบนิเทศศิลป์ ม.กรุงเทพ แต่เรียนไม่จบ เรียนได้แค่ปี 3 ช่วงนั้นก็อายุ 21 ปี พอดีตอนปี 2557 ถึงหมายเรียกเกณฑ์ทหารก็เลยไปเกณฑ์ จริงๆ ก็ไม่อยากจับโดนใบแดง (หัวเราะ) แต่ว่าเราเหมือนกับเรามีเซนต์อยู่ว่ายังไงเราก็โดน ก็เลยคิดว่าโอเคโดนก็โดน แล้วค่อยว่ากันอีกที ว่าจะเป็นอย่างไร

ที่บอกว่าอ้วนนี้คือเราเริ่มอ้วนตั้งแต่เมื่อไหร่

จริงๆ ผมไม่ได้อ้วนตั้งแต่เด็กๆ นะครับ อาจจะแค่อวบๆ คือผมเป็นคนน้ำหนักขึ้นลงง่าย ผมเคยน้ำหนักต่ำสุดที่ 60 กิโลกรัม ตอนช่วงปี 1 มันก็กินเรื่อยๆ เพราะว่าผมเป็นคนชอบกินเหมือนกัน ก็กินกับที่บ้านเวลาไปโน้นไปนี้ ไปกินอะไรอย่างนี้ เราก็คิดว่าเราไม่อ้วนหรอก แต่พอไปเกณฑ์ทหาร น้ำหนักตอนชั่ง 80 กิโลกรัม ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เกณฑ์ทหารได้อยู่ ผมก็เลยได้จับใบดำใบแดง ทีนี้พอผมผมโดนใบแดง ทบ. 2 ช่วงระยะเวลาที่เหลือ 7 เดือน ผมก็กินเต็มที่ กินๆ คุณแม่ก็เป็นห่วงบอกว่าอ้วนขึ้นมากแล้วนะ แต่ผมก็บอกคุณแม่ไปว่าไม่เป็นอะไรหรอก เดี๋ยวเข้ากรมก็คงลดเอง คือเราก็ไม่คิดว่าจะลดขนาดนี้ ครับ ก็เลยกินๆ มากๆ จนมันขึ้นถึง 105-106 กิโลกรัม วันที่ไปเข้ากรมวันแรกช่างน้ำหนัก

เข้าไปแล้วทำอย่างไร ถึงลดลงได้ขนาดนี้

ตอนแรกเลยที่ผมเข้ามาประมาณอาทิตย์หนึ่ง แล้วก็ได้ช่างน้ำหนักที่โรงพยาบาล ก็เลยได้รู้ว่าน้ำหนักมันลงไป 5 กิโลกรัม แล้วทีนี้พอมันฝึกไปเรื่อยๆ ระยะเวลาการฝึกประมาณ 3 เดือน พอฝึกเสร็จแล้ว ผมก็ได้กลับบ้านรอบแรก ก็ไปชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่าอยู่ที่ 68 กิโลกรัม มันลงไปเยอะ คือเวลาที่อยู่ในกรม เราจะไม่มีการช่างน้ำหนัก หรือว่าไม่รู้เวลา ไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่มีอะไรเลย เราก็เลยไม่รู้ผลการเปลี่ยนแปลง คือรู้แหละว่าตัวเองผอมลง แต่ว่าไม่รู้เท่าไหร่ ขนาดไหน นั่นก็เลยทำให้เกิดความคิดที่อยากลองดูสักตั้ง

แล้วขั้นตอนการลดของเราเป็นอย่างไร

เบื้องต้นก็ได้จากฝึกหนัก เพราะฝึกหนักมากทั้งวัน แบ่งเป็นช่วง (หัวเราะ) ถ้าอธิบายหลักๆ การฝึกข้างในก็จะเป็นการฝึกทั่วๆ ไป ฝึกเป็นสถานี วันหนึ่งเราจะฝึกสองสถานี คือเขาจะแบ่งเป็นหมวดสี่หมวด ตื่นเช้ามาปุ๊บ ก็วิ่งรอบกรม ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร วันละรอบ ก่อนกินข้าว หลังๆ ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สาม สี่ ห้ารอบ แล้วแต่ครูฝึกจะสั่ง เสร็จแล้วก็ไปฝึกยิงปืนก่อนเข้าสถานีฝึกถึงเวลาเที่ยง พักกินข้าว บ่ายเข้าสถานีฝึกต่อถึง 5 โมง จากนั้นวิ่งตอนเย็นอีก ก็แล้วแต่จำนวนที่สั่งเหมือนกัน

แล้วครูฝึกก็มีแบ่งหมวดหมู่กินข้าว ใครที่น้ำหนักเกิน 80 กิโลกรัมต้องแยกออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง ก็มีราวๆ 20 คน ผมน้ำหนักอ้วนเป็นอันดับสองรองจากเพื่อนที่หนัก 120 กิโลกรัม ตอนแรกๆ เขาก็ยังไม่มีการออกกำลังกายก่อนกินข้าว ก็จะแค่บอกว่าคนอ้วนเนี่ยห้ามอาหาร เติมข้าว ห้ามเติมกับข้าว ก็คือโต๊ะหนึ่ง4 คน มีแค่กับข้าวถ้วยหนึ่งและข้าวโถหนึ่งให้ตักกินเอาเองให้พอให้อิ่ม ก็ไม่เข้าใจแรกๆ พอเราเหนื่อยมาเราก็อยากจะกินให้มันอิ่ม แต่ว่าเขาก็บังคับก็คิดว่า เออ...ทำไมนะ

แต่ว่าพอมันกินไปน้อยๆ สักพัก ร่างกายมันเหมือนมันปรับได้ มันก็จะชิน คือเราไม่เข้าใจว่าเพราะเขาจะคุมให้เรา เขาบอกว่า "ถ้าเราอ้วนอย่างนี้ เราก็จะเหนื่อยกับการฝึก วิ่งเราก็จะปวดเขา เขาก็อยากจะให้เราลด" ช่วงหลังๆ มาก็เพิ่มเริ่มให้ซิทอัพก่อนกินข้าว ซิทอัพ 30 ครั้ง ก่อนแล้วถึงจะกินข้าวได้ หลังๆ มากสุดตอนนี้อยู่ที่ 50 ครั้ง เยอะสุดแล้วที่ทำอย่างนี้ เช้า กลางวัน เย็น ทุกๆ วัน

ปัจจุบันน้ำหนัก 68 กิโลกรัม เรามีวิธีการดูแลตัวเองต่ออย่างไรบ้าง

ตอนนี้ก็คุมตัวเองอยู่ครับ พยายามกินแต่พอดี ไม่กิน น้ำอัดลม ขนมหวาน ก็ไม่กิน คือแล้วก็ออกกำลังกายวิ่งตอนเย็น คือเราจะไม่กลับไปอ้วนอีกแล้ว เพราะตอนนั้นก่อนมาเราเป็นโรคหอบหืดกับภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว โรคหอบเนี่ยอาจจะทุเลา ดีขึ้นแล้วจากตอนที่เด็กๆ เราต้องคอยใช้ยาพ่น ใช้ยากินแก้อาการภูมิแพ้ อย่างสมมุติเวลาโดนฝนก็จะเป็นแล้ว น้ำมูกไหล แต่ทีนี้ พอมาเป็นทหาร เราก็ซื้อยามาเผื่อ แต่ผมไม่เคยใช้ยานั้นเลย เพราะว่าเหมือนว่าตอนก่อนมาเป็นทหาร ผมไม่เคยออกกำลังกายเลย แล้วพอมาเข้ามาเป็นปุ๊บ เราได้วิ่งได้ออกกำลังกาย มันก็เหนื่อยแหละ แต่ทำไมมันไม่เป็น ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีอาการเลยตั้งแต่เข้ามา

มันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกไหมนอกจากเรื่องรูปร่างและโรคประจำตัว

เปลี่ยนครับ อันดับแรกเลย คือมาอยู่ที่นี้ ผมได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ มันเยอะมากกว่าเดิมมาก มันกว้างมากกว่าเดิมหลายเท่าๆ แรกผมก็คิดว่าเราไม่ต้องมารู้ก็ได้ แต่เรามาแล้ว เราโดนมาแล้ว อย่างแรกเลย เรารู้การใช้อาวุธของทหารหรืออะไรก็ตามแต่ไม่ว่าจะเป็นปืน ถ้าเราไม่ได้เข้ามาในนี้เราไม่มีโอกาสได้จับปืนแน่ๆ ที่เป็นปืนจริงๆ เราไม่มีโอกาสได้ยิงแน่ๆ แล้วทำให้เรารู้ว่าการฝึกของทหารของกองทัพเป็นอย่างไร ที่เขาบอกว่ามันน่าภาคภูมิใจ การใช้ชีวิตกับเพื่อนที่หลายๆ จังหวัด ซึ่งถ้าเราอยู่ข้างนอกเราก็ไม่มีวันได้รู้เยอะขนาดนี้ แต่พอเราก็ได้รู้วิธีการฝึกเราเคยเป็นประชาชนธรรมดาเหมือนกัน ก็รู้สึกว่ามันขนาดนี้เลยหรือ เขาเหนื่อยขนาดนี้เลยหรือเพื่อปกป้อง

แล้วทัศนคติเรื่องของ "ความอ้วน" เปลี่ยนไปไหม

เปลี่ยนเหมือนกันครับ เอาง่ายๆ ผมก็คนธรรมดา ผมก็มองของผมว่า อย่างแรกเลย จุดที่คนจะคอนแทคกับใครสักคนหนึ่ง เขาต้องมองรูปลักษณ์ภายนอกก่อน มองหน้าตาก่อน ใช่ไหม คืออย่างพอตอนที่ผมอ้วน ผมทำงาน ผมเคยไม่มั่นใจ ขนาดมีคนมาติดต่อให้ผมไปออกอีเวนท์วาดรูปที่สยามเซ็นเตอร์ มีมาให้ไปทำโน่นนี่หลายอย่างมาก ผมเลือกที่จะปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากไป อยากไป แต่พอติดเรื่องอ้วน เราอ้วนขนาดนี้ เราไปเราอาย เราไม่โอเคกับรูปร่าง ก็เลยเลือกที่จะโกหกว่าเราไม่ว่าง แต่ตอนนี้ก็มั่นใจระดับหนึ่งแล้วครับ กล้าสามารถที่จะไปเจอใครได้ มันเหมือนกับว่ามันทำให้เรารู้เลยว่าคนจะมองตรงนี้เป็นจุดโฟกัสก่อนเลยเวลาจะรู้จักใคร

หรืออย่างตอนก่อนหน้านี้ในเฟซบุ๊กผม เต็มที่เลยผมไม่ค่อยได้เล่น ผมจะเล่นอินสตราแกรม ผมจะทำงานรับงานวาดรูปในเฟซบุ๊กคนไลค์แค่ 10 คนผมยิ้มแล้ว แต่ตอนนี้มันลามไปถึง 6 พันกว่า ก็ตกใจ ตกใจมาก คือมันแค่คืนเดียวคนเข้ามาเยอะมาก แล้วกระแสมันก็มาเยอะ ดราม่าบอกว่าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน จริงๆ รอยสักไม่มีบ้าง อยู่คนละข้างบ้าง เพราะตอนที่อ้วนรอยสักที่คอมันมองไม่เห็นไง (หัวเราะ) แล้วอีกอย่างตอนที่ถ่ายแล้วรอยสักอยู่คนละข้าง คือแม่ผมเขาแอบถ่ายก่อนขึ้นรถมา เขาก็จะถ่ายด้วยกล้องหลัง ภาพมันจะไม่กลับด้าน แล้วทีนี้ผมถ่ายรูปตัวเอง ถ่ายด้วยกล้องหน้า ภาพมันกลับด้าน รอยสักมันก็เลยกลับอีกที่หนึ่ง เขาก็เลยตีกันว่ามันไม่ใช่คนเดียวกันหรอก แล้วมันก็มีบางคนก็บอกว่าตัดต่อหรือเปล่า ใช้แอปพลิเคชันหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้จะโกหกทำไมไม่มีอะไรให้โกหก คือบางคนถ้าเกิดเห็นตัวจริงอาจจะบอกว่าไม่ใช่อย่างที่เห็นในรูป เพราะผมก็หุ่นยังไม่ได้ดีมาก น้ำหนัก 68 ก็จริง แต่คนที่อ้วนมาก่อนแล้วผอมอย่างผม มันก็ยังไม่กระชับผิวก็ยังต้องออกกำลังกายเพิ่ม ผิวที่เคยแตกก็มีอยู่บ้าง

แล้วอะไรที่ทำให้เราตัดสินใจถ่ายทอดเรื่องราวของเราออกไป

สาเหตุที่ผมลงเรื่องราว ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้อยากดัง จริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีคนสนใจขนาดนี้ คือจากที่ผมคิดว่าผมแค่มาพูดคุยกับพี่กับเพื่อน เพราะก่อนหน้านั้นผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงของคนที่อ้วนๆ ว่าเขาผอมได้อย่างไร รีวิวว่าคนนี้ผอมลงเขาทำอย่างไรนะ ผมก็เคยดูเหมือนกัน คนนี้กินอะไรถึงผอมลงได้จากคนอ้วน แต่พอผมรู้วิธีแล้วมันต้องทำกินเอง มันเยอะ ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ทำ ก็เลยอ้วนต่อไป พอผมผอมปุ๊บ ผมก็เลยรู้สึกว่าเราลองซิ แชร์ไหม ผมก็แชร์ให้คนโน้นคนนี้เผื่อว่าเขามีกำลังใจ ก็ลงไป...คือผมเป็นคนอ้วนมาก่อน ผมก็เข้าใจความรู้สึกของคนอ้วน

ผมอยากจะบอกว่า ถ้าคิดที่จะเปลี่ยนตัวเองจริงๆ มันต้องจริงจังกับตัวเอง เราต้องชัวร์ว่าเราอยากเปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำเหยาะแหยะ แล้วพอไม่ไหวเราก็พอ อยากให้ลองอย่าพึ่งคิดถึงผลที่มันจะได้ ลองทำไปเรื่อยๆ ก่อน แล้วถ้าวันหนึ่งเราทำไปนานแล้วหรือว่าเราตั้งเป้าไว้ครบกำหนดลองดูผลว่าเป็นอย่างไร แต่คือถ้าเราทำเต็มที่ทุกๆ วัน ทำอย่างเดิมทุกๆ วัน ออกกำลังกายมทุกๆ วัน พอครบ ผมว่าอย่างไรมันก็เห็นผลแน่นอน แล้วคุณจะรู้ว่ามันเปลี่ยนไปมากมายขนาดไหน

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ใช่...อันนี้ประเด็นสำคัญ จริงๆ ถ้าคนที่ลดความอ้วนด้วยการเลือกใช้ยาหรือเลือกวิธีที่จะไม่กินอะไรเลย แทนการควบคุมแล้วก็ออกกำลังกายควบคู่ ถ้าวันไหนวันหนึ่งเกิดกินขึ้นมา ตบะมันจะแตก พอมันแตกปุ๊บ เราก็จะกินทุกวันเลยทีนี้ เราก็ไม่อยากจะดูแลตัวเองแล้ว ขี้เกียจล่ะ เพราะมันสบาย มันเอร็ดอร่อยกับการกิน คือต้องตั้งใจจริงๆ ต้องใจแข็งด้วย เริ่มต้นที่เราก่อนแล้วมันจะเห็นผลเอง เราต้องมีจุดเป้าหมาย มีจุดโฟกัสที่เราต้องการอะไรจากมัน

เปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้ เรามองอย่างไรเรื่องที่ว่า "เป็นทหารให้อะไรมากกว่าที่คิด"

คือว่าถ้าเกิดผมไม่ได้เข้ามาอยู่ในกรม ผมเป็นคนข้างนอก ผมก็จะรู้สึกเหมือนคนทั่วไปที่มองว่า ทหารเท่นะ แต่ว่าเราไม่อยากเข้ามาหรอก เพราะเราก็เห็นจากโลกภายนอก มีคลิปมีอะไรก็ตาม แต่ที่มันดูน่ากลัว ทุกคนก็จะกลัวกัน คงไม่มีใครอยากโดนใบแดง แต่พอเข้ามาจริงๆ แล้วทัศนคติมันก็เปลี่ยนไป พอเรามาเจอกันจริงๆ ถ้าตัดเรื่องยศ เราไม่เอ่ยถึงตำแหน่งเขา ทุกคนก็จะเหมือนคุณลุง คุณอา คุณน้า

ที่นี่ก็เปรียบเป็นบ้านหลังหนึ่ง เพราะเราใช้เวลาอยู่ 2 ปี กลับบ้าน 2 เดือนทีหนึ่ง ก็เหมือนบ้านเราไปเลย มันก็จะเปลี่ยนนความคิดที่ว่าถ้าเราอยู่แล้วเราก็ต้องคิดว่ามันเป็นบ้าน ถ้าเราคิดว่าอยู่เป็นบ้านมันก็มีความสุข

ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด

ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด ตอนแรกผมก็คิดว่ามันจะโหด คือเพื่อนผมโดนก่อน เราก็ถามเขาว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง (หัวเราะ) เขาก็บอกว่ามันไม่มีอะไรเลย เราก็ไม่เชื่อ ยังแบบ... “ใช่เหรอๆ” อยู่ แล้วพอมาจริงๆ เรารู้แล้วมันก็จะมีคนที่อยู่ข้างนอกถามกลับมาคำถามเดียวกัน แล้วคนที่ถามก็รู้สึกไม่ต่างกัน เราก็อธิบายยากเหมือนกันนะ คือต้องลองมา ถ้าไม่มาเราก็ไม่รู้ มันเหมือนเป็นการสร้างภูมิในตัวเราด้วย ให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนอีกคนหนึ่งที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งร่างกายและจิตใจ มีความกล้าที่จะทำอะไรมากขึ้น

เป็นชายเต็มตัวแบบที่เขาว่า ชายไทยต้องเกณฑ์ทหาร...

ใช่ๆ จริง...คือฟังแล้วมันอาจจะเหมือนคำคมที่พูดกันมาเพื่อให้เราทำหน้าที่ แต่เขาคงคิดมาดีแล้วว่ามันใช่จริงๆ ถึงได้พูดกันอย่างนั้น



เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : instagram : zulastudiothai Facebook : Benz Sh

กำลังโหลดความคิดเห็น