“105 กก.” คือน้ำหนักที่ชายหนุ่มรายนี้แบกติดตัวไปจับใบแดงด้วยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าก้อนไขมันที่เคยอยู่เป็นเพื่อนเขาทุกหนทุกแห่งกลับหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียง 68 กก.เท่านั้น! ภายในระยะเวลา 3 เดือนในรั้วลวดหนาม
ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งนี้จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดกระแสแชร์เรื่องเล่าจากความจริงของเขาให้ว่อนเน็ต ส่งให้ “ชายหนุ่มไซส์ใหญ่” กลายเป็น “หนุ่มเท่สุดฮอต” ที่คนอยากรู้เบื้องหลังมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และนี่คือทุกมิติของหยาดเหงื่อแรงพยายามที่เกิดขึ้นในรั้วทหารอย่างที่ไม่เคยเปิดใจให้ที่ไหนมาก่อน!
แบก “โรคหอบ” พร้อม “ไซส์ใหญ่” ไปเกณฑ์ทหาร!
(ไซส์เมื่อแรกพบ ในฐานะว่าที่ทหารเกณฑ์ เตรียมจับใบดำใบแดง)
“ตอนแรกไม่ได้อยากเป็นเลยครับ ใครก็กลัวหมดแหละเรื่องเป็นทหาร อีกอย่างผมสักเยอะด้วย เลยคิดว่าเขาคงไม่เอาหรอกมั้ง แล้วผมก็อ้วนด้วย ตอนไปจับใบดำใบแดง หนักประมาณ 80 กว่าๆ พอวัดรอบอกก็ไม่ได้ เขาบอกรอบอกผมมันเกิน ตอนแรกเลยโดนเบนไปอยู่อีกกลุ่มว่าไม่ต้องเกณฑ์ พอไปอีกจุดหนึ่ง เขาถามผมว่าเป็นอะไรถึงได้มาตรงนี้ ผมบอกว่าผมเป็นโรคหอบ แต่พอดีไม่มีใบรับรองแพทย์ เขาเลยบอกผมว่าเขาก็เป็นเหมือนกัน เข้าไปเถอะ เดี๋ยวมันก็หาย ผมก็ไม่มีสิทธิเถียงอะไร ในเมื่อมันต้องเกณฑ์ก็ต้องเกณฑ์ สรุปผลออกมาทุกอย่างผ่านหมด พอกลับไปบ้าน ผมเลยกินใหญ่เลย จนหนัก 105 กก.
พอมาถึงวันค่าย ผมเลยกลายเป็นคนอ้วนที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากเพื่อนอีกคนที่ชื่อ “โอ” ที่หนัก 120 กก. จากเพื่อนทหารใหม่ทั้งหมด 100 กว่าคน คนก็จะจำได้ว่ามีไอ้อ้วนคนนี้นะอยู่ (หัวเราะเบาๆ) คิดดูว่าผมอ้วนจนไม่มีชุดใส่เลยครับ ขนาดชุดพรางไซส์ XL ผมยังใส่ไม่ได้เลย ชุดที่ใส่ได้มีแค่แบบที่เป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อไซส์ใหญ่สุด ครูเขาก็เอามาให้ผมแล้วก็บอกว่ายังไงก็ต้องใส่ให้ได้ ยัดเข้าไป (อมยิ้ม) ผมก็คิดว่าเอาละไง... ปัญหาเกิดละ มันคงไม่สบายแล้วล่ะมั้ง (หัวเราะ) ใส่ชุดเข้าไปแล้วก็เริ่มฝึกครับ”
(หาไซส์ใส่ไม่ได้ ต้องยัดจนฟิต)
เบนซ์-ศราวุฒธ์ แซ่เฮง หนุ่มน้อยวัย 22 ถ่ายทอดเรื่องราวในวันวานให้ผู้สัมภาษณ์ฟังด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนหู เสียงหัวเราะเบาๆ บวกกับเสียงอมยิ้มที่แถมมากับประโยคบอกเล่าผ่านปลายสายตลอดบทสนทนา ช่วยให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า “พลังของคนคิดบวก” มันเป็นแบบนี้นี่เอง
พูดจากใจเลยว่าก่อนเข้ามาเป็นทหารเกณฑ์ เบนซ์ไม่เคยคิดจะใช้ชีวิตในรั้วหนามในรั้ว “ค่ายสุรสีห์” จ.กาญจนบุรี เป็นแหล่งรีดไขมันมาก่อน กระทั่งชีวิตหลังจับใบแดงได้ประจำ “ทบ.2 (กรมทหารบกที่ 2)” เป็นเวลา 2 ปี จึงทำให้ค้นพบว่านี่แหละคือโอกาสทองของการไดเอตที่เหมาะที่สุดแล้ว!
“คนที่บ้านเขาจะพูดก่อนเราไปอยู่แล้วว่า กลับมาผอมแน่ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ได้ผอมอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง แต่พอฝึกไปได้ประมาณอาทิตย์หนึ่ง เขาก็จะมีให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงอีกรอบ ก่อนแบ่งกองร้อย ปรากฏว่าพอชั่งวันนั้นปุ๊บ ฝึกผ่านไป 7 วัน น้ำหนักผมลดลงไป 5 กก.
ช่วง 7 วันแรก จะยังไม่ได้ฝึกอะไรเยอะมากครับ เพราะว่าเขาจะเริ่มจากน้อยไปหามากก่อน มีฝึกท่าปกติ ทำท่ามือเปล่า ซ้ายหัน ขวาหัน แล้วก็อาจจะมีวิ่งรอบกรมบางวันแล้วแต่เขาจะสั่ง ตอนเย็นหรือไม่ก็ตอนเช้า ประมาณ 1 กม.กว่าๆ ที่เซอร์ไพรส์มากคือ ผมไม่หอบเลย แปลกมาก (น้ำเสียงตื่นเต้น) เพราะจริงๆ แล้วผมเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย ถ้าเจอฝุ่นหรืออะไรนิดหน่อยเนี่ยก็จะหายไปไม่ออกแล้ว แต่พอมาเกณฑ์ทหารไม่เป็นเลย เลยคิดว่ามันเป็นเพราะเราได้ออกกำลังกายครับ ร่างกายเราเลยดีขึ้น ทุกวันนี้ผมไม่ต้องใช้ยาแล้ว ไอ้ยาภูมิแพ้ที่เคยซื้อไว้ 5 แผง ผมไม่ได้กินมันอีกเลย”
(อ้วนที่สุด เป็นอันดับ 2 ในกองร้อย)
ลิมิตที่เคยตั้งไว้ว่า “ทำไม่ได้” หายไปในพริบตาในวันนี้กิจวัตรในชุดพรางเดินทางมาถึง! หลังครูฝึกปล่อยให้เหล่าทหารใหม่ได้ปรับตัวปรับใจเป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ การฝึกแบบคุมเข้มแม้กระทั่งเรื่อง “การกิน” ก็เริ่มต้นขึ้น!
“เขาเริ่มแบ่งทหารใหม่ออกเป็น 4 หมวด หมวดละประมาณ 25 คน ไปฝึกกันตามสถานีต่างๆ คล้ายๆ ตอนเข้าค่ายลูกเสือน่ะครับ มันจะมีสถานีขว้างระเบิด สถานียิงปืน สถานีมือเปล่า ฯลฯ เราก็ฝึกอย่างนี้ทุกวัน วนไปวันละ 2 สถานี สถานีหนึ่งจะฝึกตั้งแต่ 7.00-11.00 น. อีกสถานีจะฝึกตั้งแต่ 13.00-17.00 น. ทำแบบนี้ทุกวัน พอฝึกเสร็จก็จะมีการวิ่งตอนเย็น คราวนี้เริ่มวิ่งทุกวันแล้ว อาทิตย์แรกๆ จะเริ่มจากวิ่งแค่รอบเดียว (ประมาณ 1 กม.) พอเขาเริ่มเห็นว่าเราต้องเริ่มรอบแล้ว เขาก็จะค่อยๆ เริ่มรอบให้เรามากขึ้นเป็น 2 รอบ 3 รอบ จนถึงมากสุด 5 รอบ
แต่ถ้าถามผมจริงๆ ช่วงแรกๆ ผมวิ่งได้ไม่ค่อยครบหรอกครับ เพราะว่าเราไม่ไหวจริงๆ เข่ามันแปล๊บ! เราเป็นคนอ้วน พอวิ่งปั๊บเข่ามันกระแทก ผมก็บอกเขาว่าผมไม่ไหว เขาก็บอกว่าถ้าไม่ไหวก็ให้วิ่งตาม ใช้วิธีจ็อกกิ้งช้าๆ เอา หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เดินตาม แต่เขาบอกว่ายังไงก็ไม่อยากให้หยุด ผมก็ฝืนไปเรื่อยๆ พอได้วิ่งทุกวันๆ เข้า มันก็ไปได้ มันอยู่ที่ใจจริงๆ เลยนะผมว่าเรื่องการวิ่ง ผมคิดว่าถ้าใจเราได้ ยังไงมันก็ต้องถึง!
ครูฝึกเขาก็บอกเราตลอดว่า ถึงจะอ้วนแต่ก็ให้ดูเพื่อนเอาไว้ ถ้าเพื่อนทำได้ เราก็ต้องทำได้ เขาจะพยายามสร้างแรงจูงใจให้เรา บอกว่าถ้าเริ่มสตาร์ทแล้วต้องห้ามหยุดวิ่ง แล้วก็ต้องร้องเพลงทหารไปด้วย ทำให้ปอดใหญ่ขึ้น ให้วิ่งได้นานขึ้น ผมใช้เวลาปรับตัวประมาณ 2 อาทิตย์ครับ ถึงจะวิ่งไปกับเพื่อนได้และรู้สึกว่าเราไม่แปลกแยกละ เอ้อ...เราก็ทำได้ด้วยเว้ย!”
จากเคยวิ่งได้ไม่เกินครึ่งรอบก็เจ็บขาจนไม่ไหว กลายมาเป็นวิ่ง 5 รอบได้แบบสบายๆ อันนี้ต้องขอมอบความดีความชอบให้เหล่าครูฝึก โดยเฉพาะ “ร้อยโท ณรงค์ศักดิ์ จันทนา” ที่คอยเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะต้องลดน้ำหนัก “เบนซ์” และ “โอ” ซึ่งเฮฟวี่เวตที่สุดในกองร้อยให้ได้ จึงเกิดกฎการแยกกินข้าวของ “แก๊งลูกหมู” ขึ้นมา
("ร้อยโท ณรงค์ศักดิ์" ครูฝึกที่ทำให้ลูกหมู "เบนซ์" กลายเป็นหนุ่มเพรียวขึ้นมาได้)
“ช่วงพักกินข้าว ครูเขาจะประกาศว่า “เอ้า! แก๊งลูกหมูที่น้ำหนักเกิน 80 ให้แยกออกมา” ก็มีเยอะอยู่เหมือนกันนะครับ แต่ที่น้ำหนักเกิน 100 มีแค่ผมกับโอ 2 คน แต่ถ้ารวมทั้งแก๊งก็ประมาณเกือบๆ 20 คนได้ครับ เขาก็จะกำหนดไว้เลยว่า แก๊งลูกหมูให้กินข้าวได้แค่จานเดียว ห้ามเติมข้าว ห้ามเติมกับ เขาจะมีกับให้ถ้วยหนึ่งกินได้ 4 คน เพราะจะให้ลดน้ำหนักครับ มีให้เท่านั้น จะอิ่ม-ไม่อิ่ม ก็คือต้องพอ แต่ถ้าเป็นทหารใหม่คนอื่นที่ไม่ได้อ้วน เขาก็จะให้เติมข้าวได้คนละ 1 จาน และเติมกับได้กลุ่มละ 1 ถ้วย (ต่อ 4 คน) ครับ
พอช่วงหลังจะให้แก๊งลูกหมูซิตอัปด้วย บอกว่าต้องซิตอัปก่อน ไม่งั้นไม่ต้องกิน (ยิ้ม) ผมก็จะจับคู่กันกับโอนี่แหละครับ อ้วนเหมือนกัน จับขากันซิตอัปคนละ 30 ที พอช่วงหลังๆ ถึงเพิ่มเป็น 50 ครั้งแทน ระหว่างที่เราซิตอัปก็จะมีเพื่อนคนอื่นๆ นั่งรอกินข้าวอยู่ ตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลยครับว่าทำไมทำไม ในใจคิดแค่ว่ามันคือการออกกำลังกาย ทำไปเถอะ มันก็จะได้กับตัวเราเอง ถึงมันจะเหนื่อย ถึงเราจะไม่พอใจในสิ่งที่เขาบอกบ้าง บางทีก็คิดว่าทำไมต้องทำด้วยวะ หิวข้าว แต่พอมานั่งคิดดีๆ เราก็คิดว่า เอ้อ...สิ่งที่เขาบอก เขาให้ มันคือสิ่งที่ดีทุกๆ อย่างจริงๆ
พอฝึกไปสักพัก เราก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ผมเลยเริ่มมีกำลังใจ เริ่มมีเพื่อนหลายๆ คนมาทักว่าผอมลง ผมก็คิดว่า เฮ้ย...ใช่หรือเปล่า เพราะว่าในนั้นจะไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนักเลยไงครับ เราจะไม่รู้อะไรเลย แต่ก็เริ่มมีแรงขึ้นมาแล้ว ก็เลยมีความตั้งใจจะลดจริงจังเป็นครั้งแรกครับ พอช่วงหลังๆ ที่เขาแจกของหวานให้เพิ่ม บางวันก็จะมีน้ำหวาน น้ำอัดลม กับขนมโบราณ ผมก็เลือกที่จะไม่กิน แล้วเอาไปให้เพื่อนคนอื่นที่ผอมๆ กินแทน ผมจะกิน 3 มื้อปกติ เช้า-กลางวัน-เย็น แต่ตอนเย็นจะกินไม่เกินตอน 6 โมง และหลังจากนั้นผมก็ไม่กินขนมอะไรอีกเลย ดื่มแต่น้ำเปล่า คิดว่าไหนๆ ก็มาละ ให้มันผอมไปเลยดีกว่า!”
3 เดือนเห็นผล! ปลดแอกจาก “แก๊งลูกหมู”
ไม่ใช่ว่า “ทหารเกณฑ์ไซส์บิ๊ก” ทุกคนที่ไปฝึกกลับมาจะผอมเพรียวทันตาเห็นได้ทุกนาย แต่ที่ทำให้เบนซ์ อดีตพลทหารหนัก 105 กก. สูง 174 ซม.รายนี้กลายเป็นนายแบบในชุดพรางได้ เป็นเพราะความแน่วแน่ ไม่วอกแวกไปกับ “สาเหตุของความอ้วน” ที่คอยมาล่อใจอยู่ทั่วทุกทิศทาง!
“ที่ทำให้ผมผอมได้ ผมว่าเป็นเพราะช่วงฝึก “ท่ากองพัน” ครับ คือเราจะต้องเข้าป่า ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 ช่วงครับ คือ 10 วัน/ 6 วัน/ 6 วัน รวมทั้งหมดเป็น 22 วัน เป็นการฝึกที่ต้องเดินเยอะมาก เข้าไปถึงก็ต้องสะพายเป้ ถือปืน ทุกอย่างเต็มหมด เดินไปประมาณ 3-4 กม.ก็จะไปถึงจุดพัก เราก็จะนอนที่นั่น นอนไปป่า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทุกๆ วัน พอวันที่ 2 ก็จะทวีคูณความหนักขึ้นไปอีกเรื่อยๆ มีทั้งเดินทั้งวิ่ง ขั้นต่ำเลยประมาณ 3-4 กม. วิ่งข้ามเขา มันเป็นวิธีการฝึกเลยครับ ต้องเดินไปด้วยกันกับกลุ่ม มีพวกหมู่-จ่าอยู่ด้วย เหมือนเป็นการฝึกยุทธวิธีทั้งหมด มีทั้งทำท่าคลาน, หมอบ, วิ่ง, ยิงข้าศึก ฯลฯ แล้วแต่เขาจะสั่งเลยครับ มันก็ทำให้เราได้ยุทธวิธีไปในตัว ผมว่าที่ได้ฝึกตรงนี้แหละที่ทำให้ผมผอมลงได้เยอะ แล้วอีกอย่าง คงเป็นเพราะระบบเผาผลาญผมดีด้วยครับ
(สมรภูมินี้ที่เปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล!)
และที่สำคัญเลย เวลาเข้าป่ามันจะมีรถแม่ค้าตามไปขายของด้วยครับ (ยิ้ม) แม่ค้าแถวนั้นเขาจะรู้พิกัด รู้จุดหมดว่าทหารจะไปที่ไหนยังไง เขาก็จะตามไป ขนของไปขายเต็มที่ มีทั้งขนม น้ำหวาน มีทุกอย่างเหมือนเซเว่นเคลื่อนที่เลย ทุกคนก็จะเอาตังค์ติดตัวไปด้วย เพราะเวลาฝึกแบบนี้ เขาจะมีข้าวให้กินแค่ 3 มื้อ และข้าวที่เขาให้มันจะมีนิดเดียว... นิดเดียวจริงๆ ครับ (ย้ำชัดๆ ให้รู้ว่าปริมาณน้อยจริงๆ) มีแค่ข้าวกับกับข้าว และผมก็เลือกที่จะกินแค่นั้นครับ ไม่ซื้อเพิ่ม และผมก็เลือกที่จะไม่พกตังค์ไปด้วย คิดว่าตัดตัวเองดีกว่า เพราะถ้ามีเงินเราก็ซื้อและเราก็ไม่อยากยืมเงินเพื่อนด้วย แต่เพื่อนคนอื่นเขาจะพกตังค์ไป แล้วก็ซื้อตลอดครับ ซื้อทุกเย็น แถมมีซื้อมาเผื่อผมด้วย บางทีเพื่อนยังว่าผมเลยว่า ทำไมมึงไม่กิน เอานี่...ซื้อมาให้กิน ผมก็จะบอกไปว่าไม่กินๆ (หัวเราะ)
หรือถ้าตอนดึก บางวัน ช่วงหลังๆ ที่เริ่มปล่อยๆ แล้ว ไม่คุมมากแล้ว เขาจะมีแจกไส้กรอกมาให้ มีขนมรอบดึก มีน้ำหวานมาแจก แต่ผมเลือกที่จะไม่กินเลย จะไปหยิบมาให้เพื่อนแทน ผมทำแบบนี้จนถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้เราไม่ได้เป็นทหารใหม่แล้ว เขาจะไม่มาฟิกซ์แล้วว่าต้องกินได้แค่จานเดียว เขาอนุญาตให้แก๊งลูกหมูและคนอื่นๆ กินเท่าไหร่ก็ได้เท่าที่อยากจะกินได้แล้วครับ ไม่บังคับแล้ว แต่ผมจะยังเป็นคนเดียวที่ยังทำเหมือนเดิมอยู่ ยังเป็นคนเดียวเลยจริงๆ ที่ยังกินข้าวจานเดียวแบบไม่เติม ไม่กินขนม-น้ำหวาน เหมือนเดิม แต่เพื่อนคนอื่นๆ พอเขาเปิดทางให้กินก็จะกินกันเต็มที่เลย ไหนๆ มันก็ผอมลงได้แล้ว ก็อยากทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราก็ชินแล้ว ไม่ได้รู้สึกทรมานอะไรเลยครับ”
(ฝึกหนัก กินน้อย ใจแข็งคุมตัวเอง!)
บอกตรงๆ ช่วงแรกๆ ของการควบคุมอาหาร เบนซ์ก็แอบเกรงๆ อยู่เหมือนกันว่าจะถูกเพื่อนล้อว่ากำลังลดน้ำหนัก ด้วยความอายก็เลยเลือกที่จะไม่บอกใครว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่สุดท้าย ดูจากพฤติกรรมหลายๆ อย่างแล้วเพื่อนๆ ก็รู้อยู่ดี
“เพื่อนก็งงๆ ว่าหิวจะตาย ฝึกหนักขนาดนี้ จะมาลดทำไม แต่ก็เป็นผมคนเดียวอีกนั่นแหละครับที่ฝึกหนักแล้วไม่หิว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คงเพราะใจเรามันคิดอยากจะลดแล้วมากกว่าครับ และผมก็ไม่ได้อดอาหารหรืออะไรนะ แค่เราเลือกที่จะกินให้น้อยลงแค่นั้นเอง
แต่พอเพื่อนรู้แล้วก็ไม่ได้ล้อนะครับ แต่มันเป็นเราเองมากกว่าที่รู้สึกไปเอง คือบางทีผมก็กินน้อยจนผมอายเพื่อนน่ะ (หัวเราะ) เพื่อนนั่งตรงข้ามกัน มันถามผมว่าอิ่มแล้วเหรอ เออ...อิ่มแล้ว มันก็บอก นี่มึงกินหรือมึงดม (ยิ้ม) ก็ผมอิ่มแล้วจริงๆ ครับ คิดว่าเอาแค่นี้พอนะ เพราะถ้าวันไหนเราถลำลึกลงไป มันก็จะเสียวันนั้นไปเลย และมันก็มีแนวโน้มว่าเราจะทำเหมือนเดิมอีก ผมคิดว่าพอมันเริ่มเข้าที่แล้ว ผมก็ไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
มันก็มีเหมือนกันนะบางวันที่คิดว่า เอาวะ...วันนี้พิเศษแล้วกัน ฝึกข้างนอกกลับมาดึกๆ พอมาถึงโรงเลี้ยง พี่ทหารเขาก็จะบอกว่า เอ้า! วันนี้เติมข้าวให้เต็มที่เพราะเขาเห็นว่าเราเหนื่อยกันมาก ผมก็คิดว่าเอาวะ! วันนี้แหละ แล้วก็กินเลย กินหนักเลย (ยิ้ม) มันก็จะมีวันที่เราปล่อยตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่าจะต้องคุมเข้มตลอด ขนมก็จะมีบางวันที่กินเหมือนกันครับ แต่ไม่บ่อย เพราะบางทีเครียดไปก็ไม่ดี เราจะบีบตัวเองมากเกินไป”
จากเคยแต่กินๆ นอนๆ ทำงานอยู่กับบ้าน ไม่เคยรู้จักคำว่า “ออกกำลังกาย” พอมารับบททหารใหม่กับช่วงเวลาที่ใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่าในรั้วทหารแบบนี้ จึงทำให้เบนซ์เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งเรื่องความรู้สึกนึกคิดภายในและรูปลักษณ์ภายนอกที่เห็นแล้วเป็นต้องตกใจ โดยเฉพาะญาติๆ ที่ไม่ได้เจอกันเลยตลอด 3 เดือนแห่งการฝึกฝนความเป็นชาย ณ ที่แห่งนี้
“ฝึกหนักเลยครับ ผมจะเริ่มตื่นตี 4 แล้วก็เก็บที่นอน เขาก็จะเป่า (นกหวีด) รวมให้ลงมา เรียกลงไปวิ่งก่อน ก็จะแล้วแต่คนที่มาคุมครับว่าวันนี้อยากให้เราวิ่งกี่รอบ เราก็ต้องงัวเงียกันลงไปวิ่ง วิ่งประมาณรอบ 2 รอบ พอวิ่งเสร็จก็กลับมาทำความสะอาด ขึ้นไปเปลี่ยนชุด แล้วก็ไปเบิกปืน เสร็จประมาณ 7 โมงก็ไปเริ่มที่สถานียิงปืนก่อน ยิงปืนเสร็จประมาณ 8 โมง เราก็แยกย้ายกันไปเข้าสถานีแต่ละหมวดครับ เราก็จะทำอย่างนี้ทุกวัน พอถึงเวลาเที่ยงก็กินข้าว ได้พักถึงช่วงบ่าย
พอบ่ายปุ๊บเราก็ไปฝึกต่อ ฝึกถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น จะมีการวอร์มร่างกายก่อนเตรียมวิ่ง วิ่งเสร็จก็ไปเข้าแถวเคารพธงชาติ เคารพธงชาติเสร็จก็ถึงเวลากินข้าวตอน 6 โมงเย็น จากนั้นก็กลับมานั่งในห้องรวม เตรียมเครื่องอาบน้ำ ไปอาบน้ำเสร็จ สักประมาณทุ่มกว่าก็กลับมานั่งท่องกฎของทหาร 100 กว่าข้อ มานั่งจำกันประมาณ 3-4 ทุ่ม บางครั้งก็ท่องกันถึงเที่ยงคืนถึงจะได้นอน แล้วก็จะมีช่วงใกล้สอบ เป็นช่วงพีคสุดๆ ที่ฝึกหนักจนต้องนอนตี 2 แล้วตื่นอีกทีตี 4
ฝึกเสร็จปุ๊บ 3 เดือน เขาก็จะปล่อยกลับบ้านประมาณ 10-15 วัน แล้วแต่ครับ พอผมกลับบ้านไป คนที่บ้านตกใจเลย คนแรกคือพี่สาวผมที่มารับ ตอนแรกผมเห็นเขาจอดรถอยู่ตรงนั้น พยายามโบกมือเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่เห็นผม จนผมต้องเดินไปทัก พี่เขาตกใจสะดุ้งเลย บอกนึกว่าใคร ทำไมจำไม่ได้เลย (หัวเราะ) ผมก็คิดว่าอะไร ทำไมจะจำไม่ได้ เราก็เหมือนเดิม เพราะผมไม่รู้เลยว่าอะไรมันเปลี่ยนไปบ้าง เราจะไม่รู้ตัวเองเลย ส่องกระจกทุกวัน เราก็รู้สึกว่ามันเหมือนเดิมทุกวัน แล้วช่วง 3 เดือนแรกเขาก็ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ด้วยครับ ไม่มีรูปเก่าๆ มาเทียบ นาฬิกายังไม่มีเลย
(พี่สาวอึ้ง! เจอน้องหลังเกณฑ์ทหาร 3 เดือน จำไม่ได้)
พอกลับไปปุ๊บ มีบ้านยายข้างๆ เขาก็บอกว่า ยายจำเบนซ์ไม่ได้ พอผมเข้าไปสวัสดี ยายถึงจำเสียงผมได้ ทุกคนที่มาเจอผมก็จะตกใจหมด พอผมมาชั่งน้ำหนักดู ก็ตกใจเหมือนกันครับ น้ำหนักเหลือ 68 หายไปตั้งหลายสิบกิโลฯ ตอนที่เพื่อนทักๆ ว่าผอมลง ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะลดลงขนาดนี้ คิดว่าจะเหลือประมาณ 80 กก.
(คุณแม่สุดเฟี้ยวของเบนซ์)
อย่างชุดทหารที่เขาวัดตัวให้ผมตอนผมอ้วนๆ สรุปว่าผมใส่ชุดเดิมกลับบ้าน มันหลวมโคร่งมาก จากรอบเอว 45 ตอนกลับบ้านเหลือประมาณ 34 ต้องรัดเข็มขัดเอา กางเกงอย่างกับกระโปรงเลย (พูดไปยิ้มไป) แต่คุณแม่เขาจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่ครับ เพราะมาเยี่ยมผมทุกเสาร์ที่ค่าย แล้วทุกครั้งที่มาเยี่ยมก็จะมีขนมติดไม้ติดมือมาด้วย แต่หลังๆ รู้แล้วว่าผมไม่กินก็เลยไม่หอบมาครับ ผมก็บอกเขาว่าแค่อยากเจอแม่อย่างเดียว ไม่กินขนมอะไรเพิ่มเลย ผมว่าถ้าใครที่อ้วนๆ มาเกณฑ์ทหาร แล้วเลิกกินขนมทุกอย่าง พยายามใจแข็งแบบผม ผมว่ายังไงก็ผอมชัวร์! ของแบบนี้มันอยู่ที่ใจเลยครับว่าเราจะห้ามได้หรือเปล่า มันแค่นั้นเองจริงๆ”
ไม่เอาอีกแล้ว! “อายอ้วน” จนเสียงาน
(ในตอนที่อ้วน ไม่เคยมีความสุขกับตัวเองเลย)
“กินทุกอย่างเลยจริงๆ ครับ” ด้วยคำเพียงไม่กี่คำนี้แหละที่ประกอบเป็นพฤติกรรม และทำให้ฟรีแลนซ์หนุ่มนักวาดภาพดิจิตอลฝีมือดี อดีตนักศึกษาคณะศิลปกรรม สาขาออกแบบนิเทศศิลป์ ม.กรุงเทพ นายนี้ กลายร่างจากไซส์ปกติเป็นไซส์ยักษ์ไปได้ ชีวิตหลังลาออกจากมหาวิทยาลัยขณะศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 ของเขาเพื่อออกมาใช้ชีวิตอิสระอย่างที่ใจต้องการ ทำให้เขามีอิสระจนเกินไป จนทำให้นาฬิกาชีวิตและไลฟ์สไตล์หลายๆ อย่าง “หนัก” เกินขอบเขตที่ควรจะเป็น!
“ถ้ามองกลับไปตอนที่เราอ้วน ถามว่าผมอ้วนเพราะอะไร อ้วนเพราะกินปุ๊บก็ไปนอนทำงานต่อเลย เพราะเวลาผมวาดรูป ผมจะวาดในไอแพดไงครับ และผมจะใช้วิธีนอนวาดเอา เพราะผมชินกับการนอนวาด
พอตื่นเช้ามาปุ๊บ ทุกวันเวลาผมอยู่บ้าน ผมจะมีงานของผม ตื่นมาก็รู้แล้วว่ามีงานอะไรต้องทำบ้าง แต่ผมเป็นคนตื่นเช้าหน่อย ประมาณ 7 โมงก็ตื่นแล้วครับ เสร็จก็ลงมากินข้าว ลงมาทำอะไรสักพัก อาบน้ำเสร็จก็เริ่มง่วง ไปนอนต่อ แล้วจะไม่ให้อ้วนได้ยังไง (หัวเราะเบาๆ) พอนอนเสร็จ ตื่นมาอีกทีเที่ยง ไปกินใหม่ ทำนู่นทำนี่ไปนิดหน่อย ฟังเพลง พอมีอารมณ์วาดรูปก็นอนวาดในไอแพดเหมือนเดิม ถ้างานเยอะก็ทำทั้งวัน
และในระหว่างวันนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทำงานตลอดนะครับ ทำเสร็จรูปหนึ่งก็ไปหาอะไรกิน คลายเครียด แล้วก็กินทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่น้ำปั่น ขนม โดยเฉพาะกาแฟลาเต้ใส่นมนี่ชอบกินมาก เสร็จก็ขึ้นมานอนทำงานเหมือนเดิม ชีวิตมีอยู่แค่นี้ พอ 6 โมงเย็นก็ลุกไปอาบน้ำ ทำงานเสร็จก็นอน แล้วก็ตื่นมานอนวาดรูปต่อ แล้วมันจะไม่ได้อ้วนได้ยังไง แถมมีช่วงหนึ่งที่กินน้ำอัดลมทุกเช้าเลยจนติด และผมก็เคยกินเบียร์เยอะด้วย แถมไม่เคยออกกำลังกายแบบจริงๆ จังๆ อีก และที่ไม่ออกก็เพราะสาเหตุเดียวครับ... ขี้เกียจ”
(ขวามือสุด หนุ่มใหญ่ไซส์บิ๊ก เมื่อครั้งยังหาชุดใส่ยาก)
เคยมีเหมือนกัน ความคิดจะ “ลดน้ำหนัก” เบนซ์เคยลองงดข้าวเย็นอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว โดยเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายก็น่าจะรอด แต่แล้วก็พบว่า...
“น้ำหนักมันก็ลดจริงนะครับ แต่มันทรมานมาก เห็นของกินแล้วมันอยากกินแต่ต้องห้ามใจ บางทีเห็นอะไรที่มันแซ่บๆ อย่างส้มตำ น้ำลายนี่ปรี๊ดเลยนะครับ (หัวเราะ) แต่เราก็เลือกที่จะไม่กิน นั่นคือการทรมานตัวเองมากๆ แล้วพอวันไหนที่ตบะแตกขึ้นมา วันนั้นแหละที่จะกินหนักมาก กินเหมือนเผากับข้าวเลย ก็เลยได้ผลออกมาว่าการจะลดน้ำหนักด้วยวิธีแค่ไม่กินข้าวเย็น มันเป็นเรื่องผิดจริงๆ เพราะถ้าเรากลับไปกินเมื่อไหร่ มันจะยิ่งกินหนักกว่าเดิม และจะยิ่งกลับไปอ้วนหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
ผมเป็นคนอ้วนคนหนึ่งที่เคยอ่านกระทู้ในพันทิปหรือข้อมูลที่แชร์กันในเฟซบุ๊กว่า คนนี้อ้วนแต่เปลี่ยนตัวเอง ทำแบบนี้ๆ แล้วผอม เราก็ตื่นเต้นว่า โห! เขาทำวิธีไหนนะ ผอมได้ภายในกี่วันๆ ทำยังไงวะ ต้องกินอะไรบ้าง ผมเคยอ่านมาเหมือนกัน แต่ไม่เคยทำเลยครับ (หัวเราะเบาๆ) เพราะเห็นที่เขาบอกว่าวันนี้ต้องกินกล้วย, ต้องกินสเต๊กหมู กินอาหารตามเมนูแต่ละวันที่กำหนด เลยคิดว่ามันยากมากเลย นี่เราต้องทำอาหารเองด้วยเหรอ ก็เลยคิดว่าไม่เอาดีกว่า ไม่ทำละ ไม่ลดแล้วก็ได้ แต่พอเรามาลดได้แบบนี้ ผมเลยตัดสินใจเอาเรื่องตัวเองมาแชร์ในพันทิปเลยครับ
ผมเชื่อว่าถ้าคนอ้วนคนไหนได้มาอ่านเรื่องราวของผม สมมติว่าวันนี้เขาพลาดไปแล้ว กินข้าวตอนเย็นไปเยอะเรียบร้อยแล้ว และเฟลกับตัวเองไปแล้ว พอได้อ่าน ผมอยากให้เขาลุกขึ้นมาเอาใหม่อีกรอบ ผมเชื่อว่ามันต้องมีแบบนี้ อยากเป็นกำลังใจให้คนที่อ้วน ให้เขาเห็นว่าจุดดีของความผอมคือทุกอย่างในชีวิตเรามันดีขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะหน้าตาหรืออะไรก็ตามแต่
(กระทู้เดียว เปลี่ยนชีวิต!)
อย่างพอผมผอมปุ๊บ ไม่ว่าจะเรื่องงานที่ผมรับวาดรูปอยู่ก็เข้ามามากขึ้น คนที่ไม่เคยรู้จักก็เข้ามาหาเรามากขึ้น มันเป็นจุดที่ทำให้ผมเห็นว่า มันเป็นเรื่องจริงของชีวิตมนุษย์ที่ว่า คนเรามองที่หน้าตากันก่อนเลย ถ้าคนเห็นว่าคนนี้หล่อ-สวย เขาก็จะเข้าไปหาแล้ว ไม่ว่างานคุณจะแพงหรืออะไรก็ตามแต่ ขอแค่เขาได้คุยก่อนก็ได้ ไม่รู้สิ ผมคิดอย่างนี้นะ เพราะเราเองก็เป็น ขนาดเวลาเราเห็นดารา เรายังอยากจะรู้จัก อยากคุยกับเขาเลย แค่ได้คุยเท่านั้นแหละ มันแฮปปี้แล้ว ผมอยากให้คนที่เขาอ้วนๆ อยู่รู้ว่าเขาผอมได้ และถ้าผอมลงแล้วเขาก็จะภูมิใจในตัวเองมากขึ้นด้วย จะทำอะไรก็มีแรงกับตัวเองมากขึ้น ทำนู่นทำนี่คล่องตัว แต่งตัวก็สนุกขึ้นตั้งเยอะ
ผมเป็นคนชอบแต่งตัวอยู่แล้วด้วยไงครับ แต่พอเราอ้วน มันก็ลำบาก หรือง่ายๆ เลย แค่ชุดพรางของทหารที่ใส่ตอนฝึก ผมก็ต้องรอให้น้ำหนักลดก่อนถึงจะใส่ได้ คิดดูว่าผมต้องใส่กางเกงขาสั้น ใส่ชุดพรางกางเกงขายาว เสื้อแขนยาวเหมือนเพื่อนๆ ไม่ได้เพราะมันไม่มีไซส์ พอถึงสถานีขว้างระเบิดที่ต้องหมอบ ต้องนั่งคุกเข่า ผมก็ต้องเจ็บเข่าเพราะว่าเราไม่มีกางเกงขายาวให้ใส่ พอเป็นแบบนั้น มันก็ถึงจุดที่เริ่มทรมานแล้ว เราก็คิดกับตัวเองว่าทำไมวะ เดินไปในกลุ่มก็มีอยู่แค่ 2 คนที่ต้องใส่ชุดแบบนี้ หรืออย่างชุดไปรเวตก็จะหายากมาก ต้องซื้อเสื้อผ้ามือสองเอาครับ เพราะมันมีไซส์ฝรั่งเยอะ ไม่งั้นก็ต้องไปซื้อร้านประจำที่ขายเฉพาะเสื้อผ้าตัวใหญ่ๆ ซึ่งจะมีอยู่ไม่กี่ร้าน
แต่พอผอมปุ๊บ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้นเยอะเลยครับ ชุดก็หาใส่ง่าย หรือกับงานวาดรูปเองก็ไปได้ดีขึ้นเยอะครับ เทียบกับก่อนหน้านี้ตอนที่ยังอ้วนๆ อยู่ เวลามีคนติดต่อเข้ามาอยากว่าให้ผมไปทำงานนอกสถานที่ วาดตรงนั้นตรงนี้ ผมก็จะคิดเลยว่า เอาละ เขาก็ต้องเจอตัวจริงเราแล้วสิวะ ผมคิดอย่างนี้จริงๆ เลยแวบแรก ทั้งๆ ที่จริงๆ ในใจผมอยากรับงานนั้นมาก แต่ก็ต้องยอมปฏิเสธไปว่าผมไม่เอาครับ ผมติดงาน
(ฝีมือวาดภาพของเบนซ์ งานที่ใช้เลี้ยงชีพฟรีแลนซ์)
คือถึงเขาจะไม่ได้ตัดสินเราจากรูปร่างหน้าตา เขาเลือกเราเพราะงาน แต่เราคิดไปเองว่ามันไม่เวิร์ก เพราะเราไม่โอเคกับตัวเองที่จะไปเจอเขาแบบนั้น ผมไม่พร้อมที่จะรับงานและให้คนมานั่งดูเราทำงาน ผมไม่อยากออกไปไหนครับ คือเราอายตัวเองไปเลย นี่แหละครับคือจุดที่ทำให้รู้สึกว่าความอ้วนมันด้อยตรงนี้แหละ
แต่ถ้าใครจะผอมด้วยวิธีกินยาลดน้ำหนัก อันนี้ผมไม่แนะนำนะครับ เพราะการกินยาลด ถึงมันเป็นทางเลือกที่เห็นผลเร็วโดยไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย ไม่ต้องวิ่ง ไม่ต้องออกกำลังกาย แต่พอลดได้แล้ว ถ้าเกิดวันไหนวันหนึ่งที่เราเลิกกินยาไป ความอ้วนทั้งหมดที่เคยหายไปมันก็ต้องกลับมาแน่ๆ แล้วมันก็อันตรายมากๆ ด้วย เพื่อนผมที่เคยกินก็บอกว่ามันทำให้นอนไม่หลับ หงุดหงิด หัวใจจะเต้นแรง ทำอะไรก็จะเลิ่กลั่กๆ ตลอดเวลา ถ้าจะลดจริงๆ ใครจะเลือกวิธีลดด้วยการเข้าฟิตเนส ผมว่าก็ดีนะครับ เพราะมันช่วยให้ลดได้ทุกส่วนเลย แต่อาจจะต้องยอมเสียตังค์หาเทรนเนอร์ จะได้ลดด้วยวิธีที่ถูกต้อง
หรือถ้าใครจะเลือกลดด้วยวิธีลดเองก็ยังได้ แต่วิธีนี้มันอยู่ที่ “ใจ” จริงๆ ครับว่าเราจะทำได้หรือเปล่า ผมก็เสนอให้ลดด้วยการเกณฑ์ทหาร (หัวเราะ) ผมว่านี่แหละที่คนอ้วนต้องมา! ผมลองเข้าไปอ่านในกระทู้ที่ผมตั้งไว้ เห็นมีบางคนมาตอบเหมือนกันว่ามาเข้าค่ายแบบนี้ น้ำหนักต้องลดอยู่แล้วแหละ ไม่เห็นแปลก แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นครับ ผมคิดว่าถ้าคุณไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้ามาแล้วตามใจปากอยู่ดี น้ำหนักมันก็ไม่ลงหรอกครับ”
“อวบระยะสุดท้าย” เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง!!?
คำว่า “ดังชั่วข้ามคืน” คงเหมาะกับชีวิตเบนซ์ในช่วงนี้ที่สุดแล้ว เพราะหลังจากสร้างกระทู้เรื่องราวการลดน้ำหนักภายในรั้วทหารลงบนโลกออนไลน์ แนบภาพช่วงอ้วนถึงขีดสุด หนัก 105 กก. จนรีดไขมันลงมาได้เหลือ 68 กก. ในตอนนี้ เขาก็กลายเป็นเน็ตไอดอลที่มีคนกล่าวขานถึงมากที่สุดคนหนึ่ง กลายเป็นแรงบันดาลใจของคนเจ้าเนื้อ เนื้อหาที่มีอยู่ในกระทู้ต้นฉบับของเขา ถูกก๊อบปี้และเอาไปเผยแพร่ในเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วทุกหนแห่งในขณะนี้
แม้ในแต่เฟซบุ๊กของเขาเอง จากที่เคยมีเพื่อนกดติดตามอยู่ไม่กี่ร้อยคน ก็กลับพุ่งสูงถึงหลักหมื่นภายในเวลาเพียงคืนเดียว! และนี่แหละคือ “ชีวิตใหม่” ของเบนซ์กับความรู้สึกดีๆ ต่อตัวเอง ซึ่งเขาตั้งปณิธานเอาไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะไม่มีวันเดินถอยหลังกลับไปยังความทุกข์แบบเดิมๆ อีกต่อไป! แถมยังตั้งเป้าเอาไว้ที่ “60 กก.” เพื่อพิชิตด้วยในวันข้างหน้า
“ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าน้ำหนักเท่าไหร่มันถึงจะพอดีสำหรับผม แต่ผมแค่จำโมเมนต์นั้นได้ว่า ตอนที่เราหนัก 60 ตอน ม.3 ตอนนั้น เราแฮปปี้สุดแล้ว เราเลยอยากกลับไปอีก คิดว่าถ้ากลับไปอยู่ที่ 60 ได้ แล้วถ้าเราอ้วนขึ้นมาจากจุดนั้นอีกเมื่อไหร่ อาจจะสัก 65 เราก็จะไม่ซีเรียส เพราะมันยังมีเผื่อเหลือได้ แต่ผมก็ไม่ถึงกับตั้งเอาไว้หรอกนะครับว่าต้องลดอีก 8 กิโลฯ นี้ให้ได้ภายในกี่วัน แค่จะพยายามคุมไปเรื่อยๆ แบบไม่บีบตัวเองครับ”
จุดที่สำคัญมากๆ ที่ “คนอวบ” ควรรู้ไว้และไหวตัวให้ทันก่อนกลายเป็น “คนอ้วน” ก็คือช่วงเวลา “อวบระยะสุดท้าย” ฟังดูเผินๆ แล้วอาจเหมือนเรื่องตลกโปกฮา แต่เบนซ์บอกเลยว่าพอช่วงชีวิตนั้นมาถึงจริงๆ ไม่มีใครตลกออกแน่นอน มารู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนน้ำหนักเกินลิมิตเสียแล้ว อย่างที่เขาเคยเป็นมาก่อน
“คนอาจจะคิดว่าแค่กินนู่นนี่นิดๆ หน่อยๆ วันนี้กินช็อกโกแลตตอนตี 1 ไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่มันคือการสะสมไปเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งที่มันระเบิดเมื่อไหร่นั่นแหละ มันคือวันสุดท้ายที่เราไปส่องกระจกแล้วเราต้องพูดกับตัวเองแล้วว่า “เฮ้ย! มันขนาดนี้แล้วเหรอ”
ผมก็เคยนะ ส่องกระจกทุกวันไม่รู้เรื่องเลย เพราะเรามองตัวเองทุกวัน เห็นตัวเองทุกวัน เราต้องไปถามคนที่ไม่เจอเรานานๆ คนนั้นแหละจะรู้ แต่เราไม่รู้ และเราจะไม่เชื่อเขาเลยเวลาเขาบอกว่าเราอ้วนขึ้น เพราะเราจะเชื่อตัวเองว่าเราเท่าเดิม เราจะบอกกับตัวเองเสมอว่า มันยังไม่อ้วนมากหรอก มันยังไม่เท่าไหร่ เหมือนตอนแม่ผมเตือนว่า โห...อ้วนแล้วนะ ไม่ไหวแล้วจริงๆ นะเนี่ย ผมก็ตอบไปว่าอะไรแม่ ไม่เห็นไปไรเลย จนวันหนึ่งผมไปส่องกระจกในห้องน้ำ ผมเห็นตัวเองแล้วพูดเลยว่า “โห... อะไรวะเนี่ย เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง!!? (หัวเราะ) จริงๆ นะครับ
(จะไม่ยอม ย้อนกลับไปจุดเดิมอีกแล้ว!)
ทุกวันนี้ ทั้งหมู่และจ่าที่นี่ทุกคน เขาเห็นว่าผมผอมลง เขาก็จะพูดกับผมตลอดว่า “เบนซ์ ให้เป็นแบบนี้เหมือนเดิมนะ อย่าอ้วนขึ้นอีก” ผมก็พยายามจะเตือนใจตัวเองแบบนั้นครับ เลยคิดไว้ว่าจะไม่กลับไปหามันอีก... อย่าเลยดีกว่า...
ทุกวันนี้ เวลาอยากกินอะไร ผมจะแบ่งก่อนว่ามัน “หิว” หรือว่า “อยาก” ถ้ามันหิวจริงๆ นั่นคือท้องเราจะร้อง แต่ถ้าเราอยาก มันจะเหมือนตอนเราเห็นภาพอาหารนั่นแหละครับ มันคืออารมณ์อยากกิน และถ้าเรากินด้วยความอยาก เราจะกินด้วยความตะกละ เวลาไปร้านค้า อยากกินมาก แต่ไม่ได้หิวหรอก เราก็จะซื้อของกระจายเลย สรุปสุดท้ายกินไม่หมด ผมก็เคยเป็นแบบนั้น จริงๆ แล้ว เราควรจะกินตอนที่หิว แต่คนส่วนใหญ่ก็จะเคลียร์ตัวเองไม่ค่อยได้หรอกครับว่า อะไรคือ “อยาก” อะไรคือ “หิว” พอรู้สึกต้องการกิน ส่วนใหญ่ก็จะซื้อกิน และนี่แหละครับที่ทำให้อ้วนโดยไม่รู้ตัว”
ลดลงมาตั้ง 37 กก. จาก “ยักษ์ใหญ่แก้มตุ่ย” กลายเป็น “ผอมเพรียวหน้าเรียวเล็ก” ดูภายนอกแล้วอาจจะเพอร์เฟ็กต์ แต่เบนซ์ก็ยอมรับตรงๆ ว่าเนื้อหนังบางส่วนยังไม่อาจทำให้ฟิตแอนด์เฟิร์มได้เหมือนคนไม่เคยอ้วน
“มันจะยังมีช่วงพุงที่เคยเป็นเนื้อหนาๆ อยู่ครับ พอมันหด เนื้อที่หนามาก่อนมันก็จะหายไปยาก ทำให้ยังย้วยๆ อยู่นิดหนึ่ง แล้วก็มีบางส่วนที่เป็นเนื้อคนเคยอ้วนมาก่อน อย่างตรงแขนมันก็จะนิ่มๆ ไม่เฟิร์ม หรือมีบางที่ที่ผิวแตกบ้างเหี่ยวบ้าง แต่ผมก็กำลังพยายามฟิตไปเรื่อยๆ ครับ
คนที่อ้วนมากๆ แล้วอยากลด แต่กลัวว่าจะกลายเป็นกล้ามเนื้อเหี่ยว งั้นอย่าลดเลยดีกว่า ผมว่าอย่าเพิ่งไปกังวลตรงนั้นเลย เราเอาเวลาที่จะคิดว่าเนื้อมันจะเหี่ยวไหม เอามาลดให้มันผอมก่อนดีกว่า แล้วเรื่องเหี่ยวค่อยว่ากัน เพราะยังไงถ้าคุณผอมปุ๊บ ข้างในอาจจะไม่เพอร์เฟกต์ แต่พอใส่ชุดเข้าไปทับแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นว่าข้างในเราเป็นยังไง เลือกลดให้ผอมก่อนดีกว่าครับผมว่า แล้วถ้าเนื้อมันจะเหี่ยว สมัยนี้เขาก็มีศัลยกรรมอีกเยอะแยะที่จะช่วยได้ หรือถ้าใครไม่อยากแก้ด้วยวิธีศัลยกรรม ก็ต้องดูแลตัวเองให้เต็มที่ ต้องยอมเหนื่อย แต่ยังไงถึงเนื้อเหี่ยวทีหลังก็ยังดีกว่าปล่อยให้อ้วนครับ มันไม่ดีต่อสุขภาพเราเอง
มันก็แล้วแต่แต่ละคนครับ คนที่อ้วนอยู่บางคนเขาอาจจะคิดว่าไหนๆ ก็ลดไม่ลงหรือไม่ได้อยากลดอยู่แล้ว ก็ทำตัวให้มันดูสะอาด น่าคบหาก็ได้ แต่สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักเพราะรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ชีวิตเราไม่มีความสุขเลย ผมเข้าใจจุดนี้เลยนะครับว่าทุกคนที่รู้สึกอย่างนี้ต้องเคยคิด เวลาเห็นคนอื่นดูดี เราก็อยากเป็นแบบเขาบ้าง หรือเวลาเห็นคนชอบกัน แล้วคิดไปว่าเพราะเขาเห็นว่าเราอ้วน เขาเลยไม่ชอบเราแน่เลย อะไรแบบนี้ ผมว่าเราเอาความรู้สึกลบๆ ตรงนั้นมาเป็นแรงผลักดันในการลดของเราดีกว่า
แต่อย่าเพิ่งไปคิดว่าถ้าเราผอมปุ๊บ เราจะได้คนนี้มาเป็นแฟนหรือเปล่า ไม่ต้องคิดเลยครับ คิดแค่ว่าเราทำไปเถอะ ลดไปเถอะ แล้วสักวันมันต้องมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตเราแน่นอน ผมก็คิดอย่างนี้ครับ ไม่รู้จะพูดยังไง ผมก็เป็นคนอ้วนเหมือนกันมาก่อน แค่อยากจะบอกว่าถ้าเราทำได้สำเร็จ มันก็ดีกับตัวเราเองที่สุดแล้วครับ
(ไม่มีคำว่า สายเกินไป!)
ช่วงควบคุมอาหาร ผมจะมีจุดมองของตัวเองอยู่อย่างหนึ่งคือ ผมจะชอบคิดถึงตอนที่เรายังผอมอยู่ มันสามารถเป็นแรงผลักดันให้เราอยากกลับไปเป็นอย่างที่เคยรู้สึกได้ แต่ถ้าเกิดบางคนเป็นคนที่อ้วนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยผอมเลย ก็อาจจะต้องใช้วิธีลองคิดว่าอยากแต่งตัวแบบไหนให้ได้บ้าง แล้วก็ต้องลด ต้องทำให้ได้นะ หรือถ้าวันไหนที่พลาดไปแล้ว กินไปเยอะมากเกินที่ตั้งไว้แล้ว เราก็บอกตัวเองไปว่าไม่เป็นไร ก็ถือว่ากินไปแล้ว แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเริ่มใหม่ อย่าไปเครียด อย่าไปตึงกับมันมากว่า ไม่เอาแล้วว่ะ พลาดไปแล้ว ไม่ลดแล้ว มันไม่ใช่ เราเริ่มใหม่ได้ครับ ทุกอย่างมันเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
เทรนด์ล่ามาแรง! เกณฑ์ทหารเพื่อลดน้ำหนัก ไม่ใช่แค่ได้ความหล่อผอมเพรียวกลับมาจากค่ายทหารเท่านั้น แต่เบนซ์ยังได้โตขึ้นในอีกหลายๆ มิติ โดยเฉพาะเรื่องความรับผิดชอบตัวเอง “อย่างแรกเลยคือได้เรื่องวินัยจริงๆ จากเมื่อก่อน ผมไม่เคยซักผ้าเองเลย ผมจะให้ที่บ้านซัก แต่อยู่นี่ต้องซักเอง แรกๆ ต้องซักมือด้วยซ้ำ ขนาดเครื่องซักผ้าที่บ้านผมยังกดไม่เป็นเลยครับเพราะที่บ้านก็ไม่เคยซักเอง แต่อยู่นี่ต้องทำให้เป็น ทุกอย่างต้องทำเอง ซักผ้าเอง ปูผ้าปูที่นอนเอง ได้เรื่องวินัย ได้ระเบียบ รู้ว่าต้องตื่นเวลาไหน ต้องทำอะไรที่ไหน และได้รู้เรื่องกาลเทศะ ต้องเคารพรุ่นพี่ ต้องเชื่อฟังเขา อย่าดื้อดึง อย่าขัดขืน มันได้หลายๆ อย่าง ได้กำลังใจด้วย บางทีเขาก็สอนในเรื่องการใช้ชีวิตหลายๆ อย่างเลยครับ เพราะพวกทหารเขาก็จะเจอสิ่งข้างนอกมาเยอะ เขาก็จะสอนว่ามันเป็นยังไง ต้องตามคนให้ทันยังไง ถ้าคนแบบนี้มา เราต้องทำยังไง มันก็เหมือนบ้านหลังหนึ่งของเรา แล้วก็ได้มิตรภาพที่ดีอย่างที่หาข้างนอกไม่มีแน่ๆ เพื่อนก็เป็นจุดสำคัญที่สุดเลย เรามาจากหลายจังหวัด ต่อไปเวลาไปไหนก็พึ่งพิงอาศัยกันได้ และเขาก็สอนเสมอว่าห้ามล้อเพื่อนครับ ถึงจะมีเพื่อนที่เป็นตุ๊ดเข้ามา เขาบอกเลยว่าถ้าเห็นว่าใครล้อเดี๋ยวเจอกัน (ยิ้ม) มันก็ทำให้เรารักกันไม่ว่าใครจะเป็นยังไง จะอ้วนหรือจะเป็นตุ๊ด เราไม่แคร์เลย เราเห็นร่างกายของกันและกันจนไม่มีอะไรต้องอายแล้ว มีอะไรก็พูดกัน อยู่ด้วยกัน มันเลยทำให้เรารักกันโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหนด้วยซ้ำครับ สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากทหารก็คือ เขาคุยกันแบบ ใจ-ใจ เลยครับ ถ้าให้ใจกันเต็มที่ก็คุยกันรู้เรื่อง แต่ถ้าเขาให้ใจมาแล้วคุณไม่ให้ใจเขากลับไป คุณก็จะไม่ได้อะไรกลับไปเลย ถามว่าจำเป็นไหมว่าอยากผอมต้องมาเกณฑ์ทหาร ผมว่ามันไม่จำเป็นหรอก (ยิ้ม) แต่ที่ผมตั้งกระทู้เรื่องเสียพุงให้ใบแดงไป เพราะผมคิดว่ามันเป็นวิธีลดที่ดีอย่างหนึ่ง อีกอย่างคนจะได้ไม่กลัวทหารกันมากด้วยครับ จะได้อาจอยากลองเข้ามาเป็นดู พอเข้ามาแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง ค่อยว่ากัน มันไม่ถึงกับตายหรอกครับชีวิตในนี้ ทุกอย่างมันเปลี่ยนความคิดเราได้หมด ถ้ามองว่าได้ออกกำลังกาย ได้กล้ามเนื้อ ได้ความแข็งแรง ได้ความอดทนกลับไป ทุกอย่างมันได้กับตัวเราเองจริงๆ” |
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “Benz sh”
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754