แกว่งแขนลดพุง ?
แค่แกว่งแขน ร่างกายก็แข็งแรงจริงหรือ...
แน่นอนว่า เราๆ ท่านๆ คงจะตั้งคำถามไปด้วยความแปลกใจพร้อมๆ กัน ในระหว่างที่ได้เห็นและได้ยินคำรณรงค์โฆษณาเชิญชวนให้ออกมาแกว่งแขนเพื่อลดความอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างครึกโครม
แต่เชื่อเถอะว่าความสงสัยเหล่านั้นจะหมดไป เมื่อได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่แฝงอยู่กับการแค่เราแกว่งแขนวันละครึ่งชั่วโมงทุกๆ วัน อย่างที่เพจเฟซบุ๊ก "สุขภาพบำบัด" ได้กล่าวในบทความว่า "ไม่ต้องมาชวนก็จะแกว่งแขน ทำไม?"
และไม่ต้องรอให้มีอาการผิวซูบซีด หลงๆ ลืมๆ ติดเชื้อง่าย เป็นไข้หวัดเจ็บคอบ่อยๆ หรือเริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น อันเป็นสัญญาณบ่งชี้
นั่นก็เพราะบริเวณรักแร้คือจุดที่มีต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของร่างกายไหลเวียน อีกส่วนหนึ่งสามารถพบได้ที่บริเวณขาหนีบ ซึ่งระบบ"น้ำเหลือง" ได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง และยังนับรวมถึง ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส ม้าม (อวัยวะขนาดใหญ่ ที่สุดของระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่กรอง กำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุและเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย) อีกด้วย โดยระบบของน้ำเหลืองเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อทำความสะอาดและชำระล้างร่างกาย ถ่ายเทพิษและของเสียที่สะสมด้วยวิธีดักและกรองเชื้อโรค เพื่อแยกออกไปผ่านเครือข่ายทั่วร่างที่อยู่คู่ขนานหลอดเลือด เพื่อให้อวัยวะตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่รับผิดชอบ ขับออกไปจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาวรวมทั้งสร้าง "เเอนติบอดี" สารที่ร่างกายใช้ต่อต้านเชื้อโรคของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังเป็นตัวช่วยเสริมทำงานคู่กับอวัยวะระบบต่างๆ อย่างเช่น ตับ ที่มีหน้าที่คอยสร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก และก็ต้องอาศัยน้ำเหลืองเพื่อช่วยขนส่งสารอาหารที่ย่อยจากตับจากลำไส้เล็กส่งต่อให้กับเซลล์ต่างๆ อวัยวะต่างๆ
ดังนั้น การแกว่งแขนจึงทำให้ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีไม่อุดตันจนเกิดการสะสมของของเสียตกค้างจนเกิดเป็นมะเร็งน้ำเหลือง เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้มสูบฉีดเหมือนหัวใจที่คอยทำหน้าที่ในระบบเลือด การกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องอาศัยการออกกำลังกายเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองและการหายใจลึกๆ ขยับกล้ามเนื้อกระบังลมเป็นหลัก
ทั้งนี้วิธีการแกว่งแขนอย่างถูกต้อง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำว่า
1. ควรยืนตัวตรง ให้เท้าสองข้างแยกออกจากกันโดยมีระยะห่างประมาณความกว้างหัวไหล่
2. ปล่อยมือลงตามธรรมชาติ ไม่เกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
3. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว แล้วแกว่งไปข้างหลังให้แรง ทำมุม 60 องศากับลำตัว
โดยทำติดต่อกัน 10 นาที ต่อครั้ง ให้รวมได้วันละ 30 นาที ทำ 5 วันต่อสัปดาห์ ประมาณ 45 วัน ก็จะเห็นผลลัพธ์เริ่มที่หน้าท้องแบนราบขึ้นตามมาด้วยสุขาพร่างกายที่ดีขึ้นตามลำดับ
หรือหากใครจะสลับกับ "การว่ายน้ำ" ที่สามารถขยับได้ทั้งหัวไหล่เเละขาหนีบ การเต้นกระโดดบนเครื่อง "Trampoline" หรือใช้วิธีศาสตร์การล้างพิษ "กัวซา" (Gua Sha) ด้วยการนวดน้ำมัน นวดแผนไทย ล้วนแล้วแต่เป็นการทำให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลืองทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบส่วนบุคคล
แค่แกว่งแขน ร่างกายก็แข็งแรงจริงหรือ...
แน่นอนว่า เราๆ ท่านๆ คงจะตั้งคำถามไปด้วยความแปลกใจพร้อมๆ กัน ในระหว่างที่ได้เห็นและได้ยินคำรณรงค์โฆษณาเชิญชวนให้ออกมาแกว่งแขนเพื่อลดความอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างครึกโครม
แต่เชื่อเถอะว่าความสงสัยเหล่านั้นจะหมดไป เมื่อได้รู้ถึงผลลัพธ์ที่แฝงอยู่กับการแค่เราแกว่งแขนวันละครึ่งชั่วโมงทุกๆ วัน อย่างที่เพจเฟซบุ๊ก "สุขภาพบำบัด" ได้กล่าวในบทความว่า "ไม่ต้องมาชวนก็จะแกว่งแขน ทำไม?"
และไม่ต้องรอให้มีอาการผิวซูบซีด หลงๆ ลืมๆ ติดเชื้อง่าย เป็นไข้หวัดเจ็บคอบ่อยๆ หรือเริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น อันเป็นสัญญาณบ่งชี้
นั่นก็เพราะบริเวณรักแร้คือจุดที่มีต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของร่างกายไหลเวียน อีกส่วนหนึ่งสามารถพบได้ที่บริเวณขาหนีบ ซึ่งระบบ"น้ำเหลือง" ได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง และยังนับรวมถึง ต่อมทอนซิล ต่อมไทมัส ม้าม (อวัยวะขนาดใหญ่ ที่สุดของระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่กรอง กำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุและเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย) อีกด้วย โดยระบบของน้ำเหลืองเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อทำความสะอาดและชำระล้างร่างกาย ถ่ายเทพิษและของเสียที่สะสมด้วยวิธีดักและกรองเชื้อโรค เพื่อแยกออกไปผ่านเครือข่ายทั่วร่างที่อยู่คู่ขนานหลอดเลือด เพื่อให้อวัยวะตามส่วนต่างๆ ของร่างกายที่รับผิดชอบ ขับออกไปจากร่างกาย
นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาวรวมทั้งสร้าง "เเอนติบอดี" สารที่ร่างกายใช้ต่อต้านเชื้อโรคของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยังเป็นตัวช่วยเสริมทำงานคู่กับอวัยวะระบบต่างๆ อย่างเช่น ตับ ที่มีหน้าที่คอยสร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก และก็ต้องอาศัยน้ำเหลืองเพื่อช่วยขนส่งสารอาหารที่ย่อยจากตับจากลำไส้เล็กส่งต่อให้กับเซลล์ต่างๆ อวัยวะต่างๆ
ดังนั้น การแกว่งแขนจึงทำให้ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีไม่อุดตันจนเกิดการสะสมของของเสียตกค้างจนเกิดเป็นมะเร็งน้ำเหลือง เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้มสูบฉีดเหมือนหัวใจที่คอยทำหน้าที่ในระบบเลือด การกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องอาศัยการออกกำลังกายเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองและการหายใจลึกๆ ขยับกล้ามเนื้อกระบังลมเป็นหลัก
ทั้งนี้วิธีการแกว่งแขนอย่างถูกต้อง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำว่า
1. ควรยืนตัวตรง ให้เท้าสองข้างแยกออกจากกันโดยมีระยะห่างประมาณความกว้างหัวไหล่
2. ปล่อยมือลงตามธรรมชาติ ไม่เกร็ง ให้นิ้วมือชิดกัน หันอุ้งมือไปข้างหลัง
3. แกว่งแขนไปข้างหน้าเบาหน่อย ทำมุม 30 องศากับลำตัว แล้วแกว่งไปข้างหลังให้แรง ทำมุม 60 องศากับลำตัว
โดยทำติดต่อกัน 10 นาที ต่อครั้ง ให้รวมได้วันละ 30 นาที ทำ 5 วันต่อสัปดาห์ ประมาณ 45 วัน ก็จะเห็นผลลัพธ์เริ่มที่หน้าท้องแบนราบขึ้นตามมาด้วยสุขาพร่างกายที่ดีขึ้นตามลำดับ
หรือหากใครจะสลับกับ "การว่ายน้ำ" ที่สามารถขยับได้ทั้งหัวไหล่เเละขาหนีบ การเต้นกระโดดบนเครื่อง "Trampoline" หรือใช้วิธีศาสตร์การล้างพิษ "กัวซา" (Gua Sha) ด้วยการนวดน้ำมัน นวดแผนไทย ล้วนแล้วแต่เป็นการทำให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลืองทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบส่วนบุคคล