เราจะเชื่อหรือไม่ว่า ทุกข์สมัยนี้กับทุกข์สมัยก่อน เหมือนกัน แต่ถูกอธิบายด้วยความหมายที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง
ทุกข์เดี๋ยวนี้รู้เร็มกว่าแต่ก่อนมากมายนัก เพราะเราได้สร้างเครื่องรับทุกข์ขึ้นตลอดเวลา ถ้าเราเปิดทีวี เราก็มองเห็นทุกข์อีกฟากฝั่งโลกได้ไม่ยาก หรืออยากรู้ทุกข์อีกแบบก็ลองหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้ตัวมากดสุ่มเบอร์โทร แล้วถามปลายสายว่า “กำลังทุกข์อยู่หรือเปล่า” ผู้เขียนเชื่อว่า ใน 100 คนที่ตอบว่าไม่ทุกข์ สักหนึ่งคนก็ยังหายาก ฉะนั้น ทุกข์จึงมีเหมือนกันทุกที่ทุกเวลา ตอนไหนเวลาใด จะรู้หรือไม่รู้ ทุกข์ก็ไม่ได้ลดลง
จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับการอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเป็นปกติ ไม่เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นส่วนเกิน พอๆ กับที่ไม่เห็นว่าความสุขนั้นต้องอาศัยเพียงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เหมือนดังที่พระเถระในสมัยพุทธกาลเอง บางครั้งก็ต้องรู้จักเอาธรรมะมาช่วยประคองชีวิตตลอดเวลา เพื่อทำให้ชีวิตมีปกติสุขได้ แม้รอบกายจะมีแต่ความทุกข์ก็ตาม
อย่างพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา ได้ตอบคำถามของพระพุทธเจ้าที่ตรัสถามว่า “ตอนนี้ เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยธรรมะข้อไหน”
“ด้วยการปล่อยวาง พระองค์” เป็นคำตอบของพระเถระ และสื่อให้เห็นว่า แม้ความสุขของเรา บางทีก็ต้องอาศัยการปล่อยวางเสียบ้าง
หากใครเคยโดยสารเครื่องบิน จะรู้ว่า ชีวิตเป็นแค่อะไรที่น้อยนิดบนโลกใบนี้ เพราะเมื่อมองจากที่สูง สิ่งต่างๆ ดูเล็กลงไปทันตา และยิ่งกว่านั้น เรายังรู้สึกว่าชีวิตไม่ใช่ของเราอีกต่อไป แต่ตกอยู่ใต้คันบังคับที่คนแปลกหน้าถือเอาไว้ จะพาเราไปไหนก็จำต้องไปด้วย เป็นการปล่อยวางชีวิตไว้ในมือคนอื่นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
มีครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้ประสบเหตุการณ์หนึ่งบนเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนฟากฟ้า แล้วมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือเสาอากาศของเครื่องบินโดนฟ้าผ่า ทำให้เครื่องต้องบินย้อนกลับเพื่อทำการซ่อมและเติมน้ำมันอีกครั้ง
ตอนนั้น ผู้คนเริ่มพูดคุยกันด้วยความวิตก แม้ผู้เขียนจะรู้สึกกังวลไปด้วย แต่พอนึกถึงคำว่า “ปล่อยวาง” จิตใจก็สงบลง แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป
พอเครื่องซ่อมเสร็จก็ทำการบินต่อ จนเครื่องบินมาถึงที่หมายประมาณหกโมงเช้า ปรากฏว่าฝนตกอย่างหนักจนแทบมองไม่เห็นสภาพอากาศด้านนอก ขณะที่เครื่องจะทำการร่อนลงนั้น ทุกคนต่างใจจดใจจ่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่
แต่แล้วขณะที่ล้อกำลังจะสัมผัสกับพื้น ก็เริ่มรู้สึกว่าเครื่องค่อยๆ ทะยานขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นทุกคนแม้แต่แฮร์โฮสเตสถึงกับถอนหายใจด้วยความกังวลใจที่เครื่องไม่ได้ลงอย่างที่คิด แต่กลับบินขึ้นไปอีกครั้ง
ตอนนี้ ทุกคนต่างขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน ทันใดนั้นเอง ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านั้น ภาพบนจอทีวีเล็กๆ ที่ติดตั้งตรงกลางลำตัวเครื่องบินก็ติดขึ้น พร้อมภาพละครที่ปรากฏขึ้น เสียงอู้อี้ของทีวีทำให้รำคาญไม่น้อย
และแน่นอน คงมีใครสักคนเปิดขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยลดอาการแตกตื่น เหมือนเหตุการณ์บ้านเมืองจะวุ่นวายแค่ไหน ถ้ายังมีละครฉายให้ดู ก็ช่วยสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ใครล่ะจะสนใจกับละครตอนนี้ เพราะทุกคนต่างรอคอยให้เครื่องบินลงจอดอย่างปลอดภัยเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ดูจะร้ายแรงกว่าเสาอากาศ แต่คิดไปคิดมาก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม จึงคิดถึงคำนี้อีกครั้ง “ปล่อยวาง” และเฝ้ารอดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ อย่างมีสติ และทุกอย่างก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เครื่องค่อยๆ ร่อนลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย พอเครื่องจอดสนิทแล้วประตูเปิดออก เผยให้เห็นอิสรภาพที่รอคอยอยู่ตรงหน้า พร้อมกับเสียงรำพึงเบาๆ อย่างรู้เท่าทัน “รอดตายแล้ว”
เมื่อทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม ก็ลองปรับใจตัวเองให้วางลง อย่าวุ่นวายไปตามเหตุการณ์ภายนอกมากนัก แม้แต่ชีวิตเราก็อยู่เหนือการควบคุม อยากจะให้สุข บางทีก็ทุกข์ อยากจะหายทุกข์ ก็กลับทุกข์มากขึ้น ลองคิดใหม่ว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป พยายามรักษาใจตัวเองให้เป็นปกติก็พอ
_________________________________________________________________________
บทความจากหนังสือ “ศิลปะการคิดให้ชีวิตมีสุข” เขียนโดย กิตติเมธี (สำนักพิมพ์ใยไหม)
ทุกข์เดี๋ยวนี้รู้เร็มกว่าแต่ก่อนมากมายนัก เพราะเราได้สร้างเครื่องรับทุกข์ขึ้นตลอดเวลา ถ้าเราเปิดทีวี เราก็มองเห็นทุกข์อีกฟากฝั่งโลกได้ไม่ยาก หรืออยากรู้ทุกข์อีกแบบก็ลองหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ใกล้ตัวมากดสุ่มเบอร์โทร แล้วถามปลายสายว่า “กำลังทุกข์อยู่หรือเปล่า” ผู้เขียนเชื่อว่า ใน 100 คนที่ตอบว่าไม่ทุกข์ สักหนึ่งคนก็ยังหายาก ฉะนั้น ทุกข์จึงมีเหมือนกันทุกที่ทุกเวลา ตอนไหนเวลาใด จะรู้หรือไม่รู้ ทุกข์ก็ไม่ได้ลดลง
จึงเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับการอยู่กับความทุกข์ได้อย่างเป็นปกติ ไม่เห็นว่าความทุกข์นั้นเป็นส่วนเกิน พอๆ กับที่ไม่เห็นว่าความสุขนั้นต้องอาศัยเพียงเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เหมือนดังที่พระเถระในสมัยพุทธกาลเอง บางครั้งก็ต้องรู้จักเอาธรรมะมาช่วยประคองชีวิตตลอดเวลา เพื่อทำให้ชีวิตมีปกติสุขได้ แม้รอบกายจะมีแต่ความทุกข์ก็ตาม
อย่างพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา ได้ตอบคำถามของพระพุทธเจ้าที่ตรัสถามว่า “ตอนนี้ เธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยธรรมะข้อไหน”
“ด้วยการปล่อยวาง พระองค์” เป็นคำตอบของพระเถระ และสื่อให้เห็นว่า แม้ความสุขของเรา บางทีก็ต้องอาศัยการปล่อยวางเสียบ้าง
หากใครเคยโดยสารเครื่องบิน จะรู้ว่า ชีวิตเป็นแค่อะไรที่น้อยนิดบนโลกใบนี้ เพราะเมื่อมองจากที่สูง สิ่งต่างๆ ดูเล็กลงไปทันตา และยิ่งกว่านั้น เรายังรู้สึกว่าชีวิตไม่ใช่ของเราอีกต่อไป แต่ตกอยู่ใต้คันบังคับที่คนแปลกหน้าถือเอาไว้ จะพาเราไปไหนก็จำต้องไปด้วย เป็นการปล่อยวางชีวิตไว้ในมือคนอื่นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
มีครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้ประสบเหตุการณ์หนึ่งบนเครื่องบินที่กำลังบินอยู่บนฟากฟ้า แล้วมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น คือเสาอากาศของเครื่องบินโดนฟ้าผ่า ทำให้เครื่องต้องบินย้อนกลับเพื่อทำการซ่อมและเติมน้ำมันอีกครั้ง
ตอนนั้น ผู้คนเริ่มพูดคุยกันด้วยความวิตก แม้ผู้เขียนจะรู้สึกกังวลไปด้วย แต่พอนึกถึงคำว่า “ปล่อยวาง” จิตใจก็สงบลง แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป
พอเครื่องซ่อมเสร็จก็ทำการบินต่อ จนเครื่องบินมาถึงที่หมายประมาณหกโมงเช้า ปรากฏว่าฝนตกอย่างหนักจนแทบมองไม่เห็นสภาพอากาศด้านนอก ขณะที่เครื่องจะทำการร่อนลงนั้น ทุกคนต่างใจจดใจจ่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่
แต่แล้วขณะที่ล้อกำลังจะสัมผัสกับพื้น ก็เริ่มรู้สึกว่าเครื่องค่อยๆ ทะยานขึ้นอีกครั้ง ตอนนั้นทุกคนแม้แต่แฮร์โฮสเตสถึงกับถอนหายใจด้วยความกังวลใจที่เครื่องไม่ได้ลงอย่างที่คิด แต่กลับบินขึ้นไปอีกครั้ง
ตอนนี้ ทุกคนต่างขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน ทันใดนั้นเอง ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านั้น ภาพบนจอทีวีเล็กๆ ที่ติดตั้งตรงกลางลำตัวเครื่องบินก็ติดขึ้น พร้อมภาพละครที่ปรากฏขึ้น เสียงอู้อี้ของทีวีทำให้รำคาญไม่น้อย
และแน่นอน คงมีใครสักคนเปิดขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ช่วยลดอาการแตกตื่น เหมือนเหตุการณ์บ้านเมืองจะวุ่นวายแค่ไหน ถ้ายังมีละครฉายให้ดู ก็ช่วยสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ได้ แต่ใครล่ะจะสนใจกับละครตอนนี้ เพราะทุกคนต่างรอคอยให้เครื่องบินลงจอดอย่างปลอดภัยเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ดูจะร้ายแรงกว่าเสาอากาศ แต่คิดไปคิดมาก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม จึงคิดถึงคำนี้อีกครั้ง “ปล่อยวาง” และเฝ้ารอดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ อย่างมีสติ และทุกอย่างก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เครื่องค่อยๆ ร่อนลงถึงพื้นอย่างปลอดภัย พอเครื่องจอดสนิทแล้วประตูเปิดออก เผยให้เห็นอิสรภาพที่รอคอยอยู่ตรงหน้า พร้อมกับเสียงรำพึงเบาๆ อย่างรู้เท่าทัน “รอดตายแล้ว”
เมื่อทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุม ก็ลองปรับใจตัวเองให้วางลง อย่าวุ่นวายไปตามเหตุการณ์ภายนอกมากนัก แม้แต่ชีวิตเราก็อยู่เหนือการควบคุม อยากจะให้สุข บางทีก็ทุกข์ อยากจะหายทุกข์ ก็กลับทุกข์มากขึ้น ลองคิดใหม่ว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็ผ่านไป พยายามรักษาใจตัวเองให้เป็นปกติก็พอ
_________________________________________________________________________
บทความจากหนังสือ “ศิลปะการคิดให้ชีวิตมีสุข” เขียนโดย กิตติเมธี (สำนักพิมพ์ใยไหม)