xs
xsm
sm
md
lg

Frankenstein (2025) ลบภาพจำ ‘สัตว์ประหลาดคอเหล็ก’ สุดโหด สู่โหมดดราม่าที่งดงามและแสนเศร้าสะเทือนใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา



นับตั้งแต่ภาพยนตร์อย่าง Crimson Peak หรือ The Shape of Water เป็นต้นมา เรารับรู้ได้ว่า “กีเยร์โม เดล โตโร” ผู้กำกับรางวัลออสการ์ มีความหลงใหลอย่างลึกซึ้งในศิลปะแบบโกธิค (Gothic) และความรักที่มีต่อ “อสุรกาย” (Monsters) ในฐานะตัวละครที่น่าเห็นใจ ซึ่ง Frankenstein ฉบับปี 2025 นี้ ก็ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยลายเซ็นที่ชัดเจนนั้น เดล โตโร เองก็เคยพูดถึงหนังเรื่องนี้ไว้ว่ามันจะไม่ใช่หนังสยองขวัญ แต่เป็น “เรื่องราวที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันเหลือเชื่อ”

หนังเล่าเรื่องราวของ “บารอนวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์” (รับบทโดย ออสกา ไอแซค) นักวิทยาศาสตร์ผู้หยิ่งทะนงและหมกมุ่น ผู้ซึ่งค้นพบวิธีสร้างชีวิต และได้ให้กำเนิด The Creature ขึ้นมาสำเร็จตามที่หวัง แต่ถึงอย่างนั้น กลับมีองค์ประกอบบางประการเกี่ยวกับ The Creature ที่วิคเตอร์ไม่ชอบใจ กระทั่งนำพาไปสู่เหตุการณ์ที่เขาเองก็คาดไม่ถึง

สิ่งที่น่าสนใจอันดับแรกสุดของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ความตั้งใจในการขจัดภาพจำของ “สัตว์ประหลาดคอเหล็ก” แบบเดิม ๆ ออกไป โดยคงไว้ซึ่งแก่นแท้ของนวนิยายต้นฉบับเรื่อง Frankenstein; or, The Modern Prometheus ที่ “แมรี เชลลีย์” เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ.1818 เดล โตโร ได้ผสานความยิ่งใหญ่ของ Gothic Horror เข้ากับความลึกซึ้งทางอารมณ์ ผ่านภาพที่สวยงามราวกับภาพวาดสีน้ำมัน และรายละเอียดเครื่องแต่งกายและฉากที่ประณีตบรรจง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็น “เมโลดราม่าที่งดงาม” เลยทีเดียว


จุดเด่นสำคัญของ Frankenstein ฉบับนี้คือการคัดเลือกนักแสดงที่ทรงพลัง “ออสการ์ ไอแซค” ในบท วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงในการถ่ายทอดความหลักแหลม ความเย่อหยิ่ง และการดำดิ่งสู่ความวิกลจริตของวิคเตอร์ เขาสามารถทำให้วิคเตอร์เป็นตัวละครที่โหดร้ายที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ น่าเห็นใจอย่างที่สุด

ขณะที่ เจคอบ เอดอร์ลี ในบท The Creature ต้องเผชิญกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่ในการสวมบทบาทที่เป็นไอคอนของโลกวรรณกรรม เขาถ่ายทอดความเจ็บปวด ความโกรธแค้น และความปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ ผ่านการแสดงที่ส่วนใหญ่เงียบงันและใช้ภาษากาย แม้ต้องอยู่ภายใต้เมคอัพและอวัยวะเทียม แต่สายตาของเอดอร์ลียังคงสามารถสื่อถึงความอ่อนโยนและความทุกข์ระทมของสิ่งมีชีวิตที่ถูกทอดทิ้ง การแสดงของเขาได้รับคำชื่นชมอย่างมากถึงการตีความอสุรกายที่ไม่ใช่แค่สัตว์ร้าย แต่เป็นเหยื่อของการถูกทอดทิ้งและความโหดร้ายของผู้เป็นบิดา

นอกจากนี้ ยังมี “มีอา กอธ” ที่รับบทเป็น “เอลิซาเบธ” หญิงสาวผู้มีความฉลาดหลักแหลม ซึ่งในเวอร์ชันนี้เธอไม่ได้หมกมุ่นในความรักแบบวิคเตอร์ แต่กลับรู้สึกรังเกียจความเย็นชาและเย่อหยิ่งของเขา บทบาทของเธอเพิ่มความซับซ้อนให้กับมิติความสัมพันธ์ในตระกูลแฟรงเกนสไตน์ได้อย่างน่าสนใจ


หากเปรียบ “วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์” คือ “Prometheus ยุคใหม่” ผู้ขโมยไฟแห่งชีวิตมาสู่โลก เดล โตโร ก็คือผู้พยายามทำความเข้าใจผลลัพธ์ของไฟนั้น โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เน้นย้ำถึงพันธะแห่งบิดาและบุตรชายอันน่าเศร้าระหว่าง “วิคเตอร์” และ The Creature ซึ่งดูเหมือนเดล โตโร พยายามสื่อสารว่าความเจ็บปวดของ The Creature นั้น สะท้อนถึงการถูกทอดทิ้งที่วิคเตอร์เคยได้รับจากบิดาของเขาเอง ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นมากกว่านิยายสยองขวัญ แต่เป็นบทวิจารณ์เชิงปรัชญาเกี่ยวกับ “ความรับผิดชอบของผู้สร้าง” และ “ชะตากรรมของสิ่งที่ถูกสร้าง”

Frankenstein ฉบับปี 2025 ไม่ได้ลดทอนความมืดหม่นของเนื้อหาต้นฉบับ แต่กลับเติมเต็มด้วยภาพอันงดงามที่ตัดกันอย่างรุนแรง เช่น การใช้สีแดงสดของผ้าคลุมมารดาผู้ล่วงลับของวิคเตอร์ เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความปรารถนาที่หายไป ซึ่งเป็นภาพที่ตามหลอกหลอนเขาตลอดชีวิต และตอกย้ำถึงธีมหลักที่เดล โตโร พยายามนำเสนออย่างทรงพลัง นั่นก็คือ “ชีวิตนิรันดร์อาจเป็นคำสาปมากกว่าพร” เพราะยิ่งมีชีวิตเป็นอมตะ ก็ดูจะสั่งสมทับถมด้วยความเศร้าและปวดร้าวนั้นไม่จบสิ้น

กล่าวอย่างถึงที่สุด เดล โตโร สามารถนำเสนอตำนานที่เขารักมาทั้งชีวิตในแบบฉบับที่อิสระที่สุด ทำให้ Frankenstein เวอร์ชัน 2025 เป็นงานที่คู่ควรแก่การรับชมและครุ่นคิดถึงความเป็นมนุษย์และสิ่งที่เราเรียกว่า “สัตว์ประหลาด” อย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง















กำลังโหลดความคิดเห็น