ในปี 2025 วงการภาพยนตร์ได้รับความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จากผลงานเรื่องเยี่ยมที่แตกต่างไปจากขนบเดิม ๆ ของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เบนนี ซาฟดี (Benny Safdie) ในฐานะผู้กำกับเดี่ยวเป็นครั้งแรก ภาพยนตร์ชีวประวัติแนวกีฬา-ดราม่าเรื่อง The Smashing Machine ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นมากกว่าหนังชกต่อย แต่คือภาพสะท้อนแห่งการแหลกสลายและความเปราะบางของมนุษย์ โดยมี ดเวย์น “เดอะ ร็อก” จอห์นสัน (Dwayne “The Rock” Johnson) สวมบทบาทที่นักวิจารณ์กล่าวขานว่าเป็น “การแสดงที่ดีที่สุดในอาชีพ” ของเขา
ภาพยนตร์เรื่องนี้เจาะลึกเรื่องราวชีวิตของ มาร์ก เคอร์ (Mark Kerr) ตำนานนักสู้ MMA และผู้บุกเบิกยุคแรก ๆ ของ UFC เจ้าของฉายา The Smashing Machine ผู้ซึ่งเคยไร้เทียมทานในสังเวียน แต่กลับต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายในชีวิตจริง นั่นคือการเสพติดยาแก้ปวด (Opiate Addiction) และความสัมพันธ์อันซับซ้อนที่กัดกินชีวิตของเขา
นี่คือการเปลี่ยนผ่านของ “เดอะ ร็อก” และลายเซ็นแห่งความจริงจัง เนื่องจากภาพจำของ “ดเวย์น จอห์นสัน” คือ “แอคชั่นสตาร์ผู้ยิ่งใหญ่” ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและรอยยิ้มพิมพ์ใจ แต่ใน The Smashing Machine เขาได้สลัดภาพลักษณ์เหล่านั้นทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อสวมวิญญาณของ มาร์ก เคอร์ ที่มีความอ่อนไหว ซับซ้อน และอ่อนแอ
การเปลี่ยนแปลงนี้มิใช่แค่การแสดง แต่เป็นการแปลงโฉมทางกายภาพอย่างน่าทึ่ง จอห์นสันต้องเพิ่มน้ำหนักตัวกว่า 30 ปอนด์ และนั่งในเก้าอี้แต่งหน้าถึง 3-4 ชั่วโมงทุกเช้า เพื่อติดอวัยวะเทียม (Prostheses) มากกว่า 20 ชิ้น รวมถึงวิกผม ที่ทำให้เขากลายเป็น “เคอร์” ได้อย่างสมจริง จนแม้แต่ตัว มาร์ก เคอร์ เองก็ยังรู้สึกตกใจเมื่อได้เห็นเงาสะท้อนของตนเองในตัวนักแสดง
เบนนี ซาฟดี ผู้กำกับและผู้เขียนบท ซึ่งสร้างชื่อจากผลงานดราม่าเข้มข้นอย่าง Good Time และ Uncut Gems ได้ใช้สไตล์การกำกับที่ดิบและสมจริงในภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเลือกใช้ภาพแบบกรันจ์ (Gritty and Grainy) ที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 16 มม. และรูปแบบ VHS เพื่อสะท้อนบรรยากาศของยุคปลายทศวรรษ 1990 ถึงปี 2000 ซึ่งเป็นยุคเริ่มต้นของ MMA ที่ยังคงหยาบกระด้างและไร้การควบคุม ซาฟดีไม่ได้เน้นแค่ชัยชนะในสังเวียน แต่เน้นไปที่ “ความจริงเมื่อก้าวออกจากกรงเหล็ก”
“เมื่อคุณก้าวออกจากสังเวียน โลกแห่งความเป็นจริงจะไล่ตามคุณทัน และคุณต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่พยายามวิ่งหนีมาตลอด” เบนนี ซาฟดี กล่าวถึงแก่นของภาพยนตร์
เนื้อเรื่องครอบคลุมช่วงชีวิตของ เคอร์ ระหว่างปี 1997-2000 ตั้งแต่การเป็นนักสู้ผู้ครองเวที (Dominant Fighter) ใน World Vale Tudo Championships ไปจนถึงจุดสูงสุดใน UFC และ Pride FC ที่ญี่ปุ่น แต่เบื้องหลังความสำเร็จคือการเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บเรื้อรัง จนนำไปสู่การพึ่งพายาแก้ปวดอย่างหนัก ซึ่งเป็นชนวนที่ทำลายชีวิตส่วนตัวของเขา
องค์ประกอบที่ทำให้ The Smashing Machine มีมิติทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง คือความสัมพันธ์อันซับซ้อนและเป็นพิษ (Toxic Relationship) ระหว่าง มาร์ก เคอร์ กับ ดอว์น สเตเปิลส์ (Dawn Staples) อดีตภรรยาของเขา ที่รับบทโดยนักแสดงหญิงเจ้าบทบาท “เอมิลี บลันท์” (Emily Blunt) ซึ่งโคจรมาพบกับจอห์นสันอีกครั้งในบทบาทที่แตกต่างจาก Jungle Cruise โดยสิ้นเชิง
ดอว์น ถูกนำเสนอในฐานะตัวละครที่มีความต้องการสูงและเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง (Incredibly Insecure) ซึ่งเป็นทั้งแรงผลักดันและตัวทำลายเคอร์ไปพร้อม ๆ กัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเต็มไปด้วยการปะทะคารม การใช้ความรุนแรงในบ้าน และเหตุการณ์ที่ดิ่งลงเหวจากการใช้สารเสพติดร่วมกัน บทของบลันท์ได้รับการยกย่องว่าเป็นการถ่ายทอดตัวละครที่มีความ “เห็นแก่ตัวและไร้ความรู้สึกปลอดภัย” ซึ่งคล้ายกับนางเอกในภาพยนตร์ของมาร์ติน สกอร์เซซี ที่มักมีมิติลึกซึ้งและยากจะเข้าใจ
นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังนำเสนอความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่สำคัญระหว่าง เคอร์ กับเพื่อนร่วมค่ายและนักสู้รุ่นบุกเบิกอย่าง มาร์ก โคลแมน (Mark Coleman) ที่รับบทโดยนักสู้ MMA ตัวจริงอย่าง ไรอัน เบเดอร์ (Ryan Bader) ซึ่งเบนนี ซาฟดี ใช้นักแสดงนักสู้ตัวจริงหลายคนมาเสริมทัพ รวมถึง โอเล็กซานเดอร์ อูซิก (Oleksandr Usyk) แชมป์มวยสากลโลกในบท อิกอร์ วอฟชานชิน (Igor Vovchanchyn) เพื่อสร้างความสมจริงให้แก่ฉากต่อสู้ในสังเวียน
ในภาพรวม The Smashing Machine คือการตีความชีวประวัติที่มุ่งเน้นความจริงใจอย่างถึงที่สุด (Radical Empathy) ซาฟดีตั้งใจให้ผู้ชมไม่เพียงแค่ชมการต่อสู้ แต่ต้องรู้สึก “ร่วมทุกข์” กับความอ่อนแอของ เคอร์ ด้วยการถ่ายทอดด้านที่เปราะบางที่สุดของชายผู้ถูกมองว่าเป็น “เครื่องจักร”
The Smashing Machine ไม่ใช่เพียงแค่การบันทึกประวัติศาสตร์ของ MMA แต่มันคือการศึกษาชีวิตของ มาร์ก เคอร์ อย่างลึกซึ้ง เป็นการฉีกกรอบภาพยนตร์กีฬาที่มักเน้นแต่ชัยชนะ เพื่อเผยให้เห็นว่า “วีรบุรุษของเราก็เลือดออกได้เหมือนกับคนอื่น ๆ” และการต่อสู้ที่แท้จริง มักเกิดขึ้นเมื่อแสงสปอตไลท์ดับลงและชีวิตส่วนตัวต้องเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
นี่คือผลงานที่ตอกย้ำว่าภายใต้กล้ามเนื้อและฉายาอันน่าเกรงขาม มาร์ก เคอร์ ก็คือมนุษย์ที่กำลังแหลกสลายและต้องการความเห็นอกเห็นใจเฉกเช่นเดียวกับเราทุกคน
